ทฤษฎีการเป็นผู้นำ ตามแนวพระราชดำรัส

ทฤษฎีการเป็นผู้นำ ตามแนวพระราชดำรัส

ทุกๆ ปีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมเวียนมาถึง คาดว่าท่านผู้อ่านและคนไทยทั้งประเทศคงจะมีพฤติกรรมเหมือนกับผู้เขียนคือ พอตกเย็นก็รีบกลับบ้านเพื่อมาเปิดโทรทัศน์ฟังกระแสพระราชดำรัสของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งพระองค์จะมีพระราชดำรัสกับ คณะบุคคลต่างๆ ตั้งแต่คณะรัฐมนตรี คณะองคมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนประชาชนธรรมดาทั่วไป สำหรับผู้เขียนแล้ว คืนวันที่ 4 ธันวาคมจะเป็นค่ำคืนของการเรียนรู้แนวความคิดต่างๆ จากพระราชดำรัส ซึ่งแนวความคิดเหล่านั้น บางครั้งก็เป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน การแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของราษฎรในเรื่องต่างๆ เช่น การเกษตร ฝนแล้ง ปัญหาน้ำท่วม บางครั้งก็เป็นเรื่องของ พระองค์เองที่ได้ทรงเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากประสบการณ์และทรงนำมาถ่ายทอดให้เราได้ฟังและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตของเรา

สำหรับในปีนี้ก็เช่นกัน วันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัส ที่ชี้แนะแนวทางในการสร้างความสามัคคีของบุคคลในชาติ" โดยอิงกับวิถีที่ทรงใช้ในการดำเนินชีวิตของพระองค์เอง ทั้งนี้หลายท่านคงได้รับฟังพระราชดำรัสโดยตรงจากทางโทรทัศน์ บางท่านก็ได้อ่านจากหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งมี นักข่าวนักวิจารณ์หลายท่านได้วิเคราะห์พระราชดำรัสและ ตีความเนื้อหาในแง่ต่างๆ สำหรับผู้เขียนนั้นจะขออัญเชิญแนวความคิดที่ได้เรียนรู้จากพระราชดำรัสมาพูด คุยกับท่านผู้อ่านในแง่การบริหารจัดการด้าน HR ที่ผู้เขียนถนัดก็แล้วกัน และเนื่องจากผู้เขียนจะเขียนต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ประมาณ 1-2 สัปดาห์ล่วงหน้า จึงต้องขออภัยที่ท่านผู้อ่านจะได้อ่านบทวิเคราะห์เรื่องกระแสพระราชดำรัสนี้ ช้าไปประมาณ 2 สัปดาห์

"ในฐานะที่คลุกคลีกับวงการ HR และการพัฒนาภาวะผู้นำ (Leadership) ของนักบริหาร" ผู้เขียนมีความเห็นว่า "พระเจ้าอยู่หัวของเราชาวไทยนั้นมีภาวะผู้นำที่ล้ำเลิศเป็นที่น่ายกย่องในทุกกรณี" จากการศึกษาทฤษฎีของความเป็น ผู้นำในหลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีที่นำเสนอหลักการว่าบุคคลที่จะเป็นผู้นำจะต้องมีแหล่งที่ มาของอำนาจ (Sources of Power) ที่สมบูรณ์ เช่น มีอำนาจในการให้คุณให้โทษ (ให้รางวัลและลงโทษ) มีอำนาจตามตำแหน่ง มีอำนาจเพราะมีความรู้ความเชี่ยวชาญ (Expertise) หรือมีอำนาจบารมี (Charisma) อันเกิดจากบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวที่ดูดีมีเสน่ห์น่าคบหา หรือเพราะมีชาติกำเนิดอยู่ในวงศ์ตระกูลที่ดีมีชื่อเสียง จากแง่คิดของทฤษฎีนี้ พระเจ้าอยู่หัวของเรามีครบทุกประการ

ครั้นจะพูดถึงทฤษฎีความเป็นผู้นำที่กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้นำ ว่าต้องเป็นผู้ที่รู้จักรักษาสมดุลของบทบาทในการมุ่งงาน (Task-Oriented) เน้นการบรรลุเป้าหมาย จัดวางโครงสร้างวิธีการทำงาน และบทบาทในการมุ่งเน้นพัฒนาสัมพันธภาพกับผู้ร่วมงาน (People-Oriented) พระองค์ท่านก็ทรงเป็นเยี่ยงอย่างที่ดีที่เวลาทรงงานก็ทรงงานอย่างหนัก จริงจัง มีวัตถุประสงค์และกระบวนการทำงานที่ ชัดเจนเป็นระบบ มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่วนในเรื่องของการมี สัมพันธภาพที่ดีกับทีมงานนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชอารมณ์ขันที่เป็นที่ยกย่อง (แนะนำให้อ่านหนังสือพระราชอารมณ์ขันของพระเจ้าอยู่หัว ที่เขียนโดย คุณวิลาศ มณีวัต - ผู้เขียน) ทรงมีความเป็นกันเอง มีพระเมตตากับข้าราชบริพารที่เป็น "ทีมงาน" ของพระองค์ เป็นที่ประจักษ์

และเมื่อเราพูดถึงลักษณะของบุคคลที่มีภาวะผู้นำในระดับโลกาภิวัฒน์ (Global Leadership) ซึ่งประกอบด้วยการมีเชาว์ปัญญา (IQ) วุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ) การมีวิสัยทัศน์ ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานให้พนักงาน (Ability to Inspire) ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี การจูงใจบริหารพนักงานให้มีความผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการบรรลุ เป้าหมายขององค์กร (Aligning people with corporate goals) การรู้รอบเรื่องความเป็นไปของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองของสภาวะแวดล้อมภายนอก (Business savvy) และรู้ถ่องแท้ถึงจุดเด่นจุดด้อยขององค์กรของตน (Organization Savvy) และสุดท้ายคือสามารถปรับตัวได้ฉับไวเข้ากับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงได้เสมอ โดยไม่ตกเป็นฝ่ายที่ถูกคุกคามจากความไม่แน่นอนและวิกฤตต่างๆ

คุณสมบัติทั้งหมดนี้ มีอยู่ในพระองค์ท่านอย่างครบถ้วน เพราะทรงมีแนวพระราชดำริที่เป็นสากลในเรื่องการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ที่แก้ปัญหาของประเทศที่กำลังพัฒนาให้มีแนวทางในการสร้างความมั่นคงให้ เศรษฐกิจอย่างมีภูมิปัญญาเป็นของตนเอง ไม่เห่อเหิมฟุ้งเฟ้อกับวัตถุตามแนวทุนนิยมมากเกินไปที่ก่อให้เกิดปัญหา หนี้สิน และช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากจนเป็นปัญหาสังคมตามมา นอกจากนี้ในยามที่ประเทศ ประสบภัยและวิกฤตต่างๆ ก็ทรงให้สติและนำพาประเทศฝ่าฟันความแปรปรวนต่างๆ ไปได้ด้วยพระปรีชาในการพระราชทานแนวทางในการแก้ไขปัญหา และ ทรงร่วมแก้ปัญหาด้วยพระองค์เองด้วย ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆ ในหลายวาระ

ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นสุดยอดแห่งผู้นำทั้งปวง ดังนั้นพระราชดำรัสที่ทรงมีในวันที่ 4 ธันวาคม จึงสมควรยึดถือเป็นทฤษฎีในการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้นำในทุกระดับได้ สำหรับในปี พ.ศ. 2548 นี้ มีทฤษฎีที่ผู้เขียนคัดสรรมาจากพระราชดำรัสได้หลายทฤษฎีเลยทีเดียว โดยจะนำเสนอว่าเป็น "ทฤษฎีการเป็นผู้นำตามแนวพระราชดำรัส"

ผู้นำสามารถทำผิดได้ และต้องน้อมรับคำวิจารณ์ (Leaders can do wrong and should accept criticisms and feedback)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงกล่าวถึงหลักการ "The King can do no wrong" และ บทบัญญัติใน รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยว่า "ผู้ใดจะล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์มิได้" ว่าตามความเป็นจริงแล้ว พระองค์ทรงมีความเห็นว่า "The King can do wrong" และก็สามารถละเมิด "The King" ได้ ซึ่งการละเมิดนั้น หมายถึงการวิจารณ์องค์พระมหากษัตริย์

ซึ่งพระองค์ท่านได้เล่าถึงว่ามีนักหนังสือพิมพ์ต่างชาติที่วิจารณ์พระองค์ ซึ่งรัฐบาลไทยก็มีความเดือดร้อน และได้ดำเนินการตามกฎหมายไป แต่พระองค์ท่านเองนั้นไม่ทรงเดือดร้อนเลยและไม่ถือสา อีกทั้งพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 6 นั้น ก็มีผู้คิดการกบฏ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ก็มิได้ถือโทษหรือลงโทษ

จากตัวอย่างจากรัชกาลที่ 6 และของพระองค์ท่านเอง ทรงชี้ให้เห็นว่า การเป็นผู้นำนั้นสามารถทำผิดพลาดได้ การเป็นผู้นำนั้นหมายถึงการที่ต้องอยู่ในที่แจ้ง ซึ่งผู้เขียนแปลความว่า หมายถึงอยู่ในที่สาธารณะ อยู่ในสายตาของสาธารณชนอันจับจ้องพฤติกรรมของผู้นำ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่ออยู่ในสายตาของคนมากมายที่คอยจับจ้องอยู่ ถ้าไม่ระวังให้ดี ก็สามารถทำสิ่งผิดพลาดได้ แต่เมื่อมีข้อผิดพลาดก็ต้องเปิดใจกว้างรับคำวิจารณ์ รับคำติ โดยไม่ถือโทษโกรธเคืองถือสา และไม่จำเป็นต้องแก้ตัวมากมายเกินไป ทฤษฎีข้อนี้ผู้นำทั้งหลายนำไปใช้ได้ โดยจะฝึกให้ผู้นำมีใจกว้าง ลดอัตตา เป็นนักประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของผู้อื่น รวมทั้งมีใจคอหนักแน่น รู้จักละวาง และ รู้จักให้อภัยไม่ถือโทษผู้วิจารณ์ โอ้โฮ! ครบทั้งความเป็นประชาธิปไตยและเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีเลยใช่ไหมคะ

ผู้นำต้องมี "สติ"มีความสำรวมระวังในการคิด พูด ทำแม้ว่าผู้นำจะมีโอกาสทำผิดพลาดได้ แต่ก็ไม่ควรบ่อย พระเจ้าอยู่หัวทรงเล่าว่าเมื่อก่อนที่จะทรงเป็น "The King" ก็เคยทำผิดพลาดอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อทรงเป็น "The King" แล้ว ก็ทรงระมัดระวัง มีสติก่อนจะคิด พูด ทำอะไร ทำให้ไม่ผิดพลาด หลักการข้อนี้ถือเป็นข้อคิดที่ทรงคุณค่ามาก เนื่องด้วยถูกกับหลักการทั้งทางโลกและ ทางธรรม เพราะการมีสติทำให้คนมีความรอบคอบ มีความสุขุม รู้จักทบทวนตนเองก่อนจะทำอะไรก็ตาม หลักของสติทำให้เกิดองค์ความรู้ (Knowledge) และ นำไปสู่การคัดกรองความรู้จนเกิดปัญญา (Wisdom) นอกจากจะมีปัญญาแล้ว ยังทำให้เกิดความสำรวมใน การคิด พูด ทำ เป็นการสร้างวุฒิภาวะทางอารมณ์ (EQ) ดังนั้น การฝึกให้มี "สติ" คือ ความรู้ทัน จึงเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว คือได้ทั้งปัญญา และ EQ

หลักการ "แก้มลิง"กับการเป็นผู้นำแบบพอเพียงในการแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมนั้นโครงการ "แก้มลิง" เป็นหนึ่งในโครงการในพระราชดำริที่ใช้ในการแก้ปัญหา น้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงย้ำว่าหลักการเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนไทย ทรงสอนให้รู้จักประหยัด ใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างประหยัด รู้จักพอ ไม่ละโมบมากเกินความ พอเพียง โดยทรงกล่าวถึงหลักการแก้มลิงว่า นอกจากแก้ปัญหาเรื่องน้ำแล้ว ยังนำมาใช้ในชีวิตประจำวันคือ ลิงที่มีแก้มพองสองข้างนั้นสามารถใช้กักเก็บน้ำได้ ไม่ปล่อยมาทีเดียวหมด เป็นการประหยัด มนุษย์เราก็ประหยัดคำพูดได้ คือเก็บไว้ในแก้ม โดยตีความได้ว่า การจะพูดจะจาอะไรต้องมีความระวัง ให้คิดก่อนพูด ตรงนี้นับเป็นการเปรียบเทียบที่ลึกซึ้งมาก

สรุป ทฤษฎีหลักที่ผู้เขียนเรียนรู้จากพระราชดำรัส คือ

1. The King can do wrong.(Leaders can do wrong)

2. การมีสติ

3. การรู้จักความพอเพียง ประหยัด โดยอิงกับ หลักการ "แก้มลิง"

"ทั้ง 3 ทฤษฎีนี้ ถือเป็นหลักในการพัฒนาภาวะผู้นำสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยแท้" ท่ามกลางกระแสการแข่งขัน รุนแรงของเศรษฐกิจ การแตกแยกเข่นฆ่า บ่อนทำลายจากภัยผู้ก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ การแตกความสามัคคีของกลุ่มคนในสังคมทั่วโลก การขาดจริยธรรม รู้จักผิดชอบ ชั่วดีของผู้นำทั้งหลาย และการใช้ชีวิตด้วยความกลัวและหวั่นวิตก ภายใต้สถานการณ์กดดันเช่นนี้ สังคมโลกของเราต้องการผู้นำที่มีสติ มีใจกว้าง รู้จักฟัง รู้จักให้อภัย และมีความประหยัด รู้จักพอเพียง ไม่ละโมบ จนทำให้เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น สมดังพระราชดำรัสโดยแท้

ในโอกาสนี้ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านทุกท่าน ได้อัญเชิญหลักการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต และพัฒนาความเป็นผู้นำตามแนวพระราชดำรัสนี้ด้วยเทอญ

 22016
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

เคยได้ยินคำว่า Flexible Time กันอยู่บ่อย ๆ ว่าแต่เอ๊ะ มันคืออะไร ?? พูดถึงเรื่อง Time ในองค์กร ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการเข้า – ออกตามกะงานต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่ก็ยังคงมีการกำหนดขอบเขตการลงเวลาเข้า – ออกที่เป็นเวลาตายตัวที่องค์กรกำหนดไว้เท่านั้น ...แต่ก็มีบางองค์กรที่นำ “ระบบการลงเวลาทำงานแบบยืดหยุ่น” หรือ “Flexible Time” มาปรับใช้
18368 ผู้เข้าชม
คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ เพราะว่ามันมีผลทั้งกับทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายที่มองหางานก็ต้องเตรียมตัวในการสัมภาษณ์ ฝ่ายที่จะรับเข้าทำงานก็ต้องนัดหมายคนที่เกี่ยวข้องเพื่อลงตารางเวลาสัมภาษณ์ ก่อนอื่นเราต้องกลับมาดูที่จุดประสงค์ของการสัมภาษณ์งานก่อน
3974 ผู้เข้าชม
“ภาษี” เป็นรายจ่ายตัวนึงที่สำคัญมากแล้วทุกคนต้องจ่าย นั่นก็คือ รายจ่ายเรื่อง “ภาษี” แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่าภาษีเป็นเรื่องที่ทุกคนยังไงก็ต้องจ่าย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงอย่างช่วงต้นปีของทุกปีเราก็ต้องรายงานกับสรรพากรว่าเรามีรายได้เท่าไหร่ ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ถ้าใครจ่ายเกินไปก็ขอคืนได้ ถ้าใครจ่ายภาษีขาดไปก็จ่ายเพิ่ม หรือจะเป็นภาษีทางอ้อมที่บางครั้งก็จ่ายแบบไม่รู้ตัว
838 ผู้เข้าชม
นื่องจากความเชื่อข้างต้น ก็เลยทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้เงิน เป็นเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจ โดยเริ่มต้นจากเรื่องของเงินเดือนเป็นอันดับแรก ให้เงินเดือนเพราะต้องการให้พนักสร้างผลงานให้กับองค์กร จากนั้นก็ต่อด้วยเรื่องของการให้คอมมิชชั่นสำหรับพนักงานขาย ใครที่ขายได้มาก ก็ยิ่งได้เงินมากขึ้น ระยะหลังๆ มานี้ก็เริ่มมีสิ่งที่เรียกกว่า pay for performance เกิดขึ้น โดยเอาผลงานของพนักงานมาเป็นพื้นฐานและผูกด้วยระบบการจ่ายค่าจ้างที่เป็นไปตามผลงาน ใครทำงานได้ดี ก็ได้รับเงินรางวัลที่สูงกว่าคนที่ทำผลงานได้ไม่ดีพอ โดยบางแห่งก็กำหนดเป็นเรื่องของโบนัสตามผลงาน คำถามก็คือ เงินรางวัลที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เราสามารถใช้ในการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานในระยะยาวได้จริงๆ หรือ
1201 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์