เมื่อทำงานมาสักพัก หลายคนก็เริ่มคิดอยากมีทรัพย์สินใหญ่ๆ เป็นของตัวเองกันแล้ว โดยเฉพาะการซื้อบ้าน ที่ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิต แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าใดเนื่องจากมีหลายปัจจัยที่สำคัญ ทั้งราคาบ้าน ค่างวดบ้าน ไปจนถึงการใช้ดอกเบี้ยบ้านเพื่อลดหย่อนภาษีว่าต้องเลือกอย่างไรจึงจะเหมาะกับตัวเองมากที่สุด
การซื้อบ้านคือการซื้ออนาคต ซึ่งอาจกระทบกับการใช้จ่ายส่วนหนึ่งในครอบครัว ซึ่งอาจกินเวลาเพียงไม่กี่ปี หรือยาวนานไปจนถึง 20-30 ปีเลยก็ได้
ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบ้านเราต้องดู กำลัง ของตัวเองก่อน ว่าสามารถจ่าย ค่างวด หรือเงินที่ใช้ผ่อนชำระในแต่ละเดือนได้ขนาดไหน ไม่ใช่แค่ว่าเงินเดือนสูงระดับหนึ่งจะสามารถซื้อได้ทุกแบบนะครับ ยังต้องสังเกตรายรับรายจ่ายของตัวเองด้วยว่าการผ่อนบ้านในครั้งนี้จะกระทบการใช้เงินโดยรวมหรือไม่ หรือสามารถลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวบางจุดได้หรือเปล่า
ด้วยความที่ค่างวดนั้นเป็นพันธะระยะยาวหลังจากการซื้อบ้าน ในช่วงเวลาการผ่อนบ้านจะมีรายจ่ายตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการมีครอบครัว มีลูก รวมไปถึงเงินเฟ้อ คนจำนวนไม่น้อยซื้อบ้านที่มีราคาสูงเกินกำลัง และหวังพึ่งเงินเดือนว่าจะสูงขึ้นตาม แต่ก็ไม่เป็นไปตามคาดจนต้องเดือดร้อนเงินใช้จ่ายในครอบครัวทางที่ดีที่สุดคือ เราควรรู้รายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือน เหลือเงินเท่าไหร่ แล้วค่อยซื้อบ้าน
โดยทั่วไปแล้วสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มสร้างครอบครัว การผ่อนชำระบ้าน หรือ ค่างวด ต่อเดือน ขอแนะนำว่าไม่ควรเกิน 35-45% ของรายได้ครับ ถ้าอยากชำระหนี้แบบสบายๆ ควรจัดสรรให้ต่ำกว่า 35% และหากเกิน 45% ไปก็ควรจะลดสัดส่วนการผ่อนชำระลงมาหน่อย
เพราะแม้ว่ารายรับเราจะเยอะ แต่รายจ่ายมักจะเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ทั้งการใช้จ่ายส่วนตัวและการลงทุนอื่นๆ ดังนั้นการประเมินค่าใช้จ่ายต่ำเกินไปอาจส่งผลให้เราไม่สามารถหมุนเงินของตัวเองได้ทันในภายหลัง
ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่จะมีข้อกำหนดว่าเราสามารถยื่นกู้เพื่อซื้อบ้านได้สูงสุด 60% ของรายได้ หมายความว่าถ้าเราเงินเดือน 40,000 บาท เราจะสามารถผ่อนชำระบ้านได้สูงสุด 24,000 บาทต่อเดือน เหลือให้ใช้
จ่ายอื่นๆ 16,000 บาท
หากคิดเป็นราคาบ้านจะตกราวๆ 3.5 ล้านบาท ถ้าราคาเกินจากนี้จะเริ่มเข้าโซนอันตรายสำหรับคนเงินเดือน 40,000 บาท ซึ่งคุณสามารถเปรียบเทียบจากตารางที่เราให้ได้เลยครับ
ตัวอย่าง ราคาบ้านที่เหมาะสมกับรายรับ
เงินเดือน (บาท) |
40,000
|
100,000
|
ค่างวด (%)
|
40%
|
60%
|
40%
|
60%
|
ค่างวด (บาท)
|
16,000
|
24,000
|
40,000
|
60,000
|
คงเหลือ (บาท)
|
24,000
|
16,000
|
60,000
|
40,000
|
ถ้าหากคุณต้องการที่พึ่งพาตนเองเป็นหลัก ไม่พึ่งพาคนที่บ้าน หรือยังอยากมีเงินออมส่วนหนึ่งเก็บไว้ การกู้เงินเพียง 40% ของเงินเดือน ดูจะเป็นตัวเลือกที่สมเหตุสมผลมากกว่า เพราะสุดท้าย ต่อให้บ้านหลังใหญ่แค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือความสุขของผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านครับ
แต่ถ้าคุณเงินเดือนราว 100,000 บาทขึ้นไป มีความมัธยัสถ์ และสามารถวางแผนการเงินได้ในระยะยาวอยู่แล้ว อยากมีบ้านราคาสูงเป็น 10 หรือ 20 ล้านบาทก็สามารถซื้อได้
แน่นอนว่าการซื้อบ้านสักหลังอาจทำให้เราต้องผ่อนชำระเงินจำนวนหนึ่งเป็นระยะเวลานาน แต่ก็ยังมีเรื่องบางประการที่การผ่อนบ้านช่วยเราได้ นั่นคือการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาด้วยดอกเบี้ยบ้านครับ
ซึ่งคนที่สามารถใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีได้จะต้องตรงตามเงื่อนไขดังนี้
โดยการซื้อบ้านจะสามารถนำดอกเบี้ยที่จ่ายจริงมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทครับ หากมีความสงสัยว่าลดหย่อนภาษีไปได้มากขนาดไหน เรามีตารางการคำนวณเปรียบเทียบที่คำนวณส่วนลดจากดอกเบี้ยบ้านแล้วเสร็จมาให้ครับ
ตัวอย่าง นาย ก. และนาย ข. ทำงานประจำมีรายได้ 100,000 บาทต่อเดือนเท่ากัน นาย ก. โสด จึงเลือกที่จะอยู่บ้านหลังเดิมคนเดียว นาย ข. มีครอบครัว จึงเลือกที่จะซื้อบ้านเพื่อครอบครัวของตัวเอง
รายได้
ค่าลดหย่อน
เงินสุทธิ นาย ก. 1,200,000 - (100,000 + 60,000 + 9,000) = 1,031,000
เงินสุทธิ นาย ข. 1,200,000 - (100,000 + 60,000 + 9,000) = 931,000
ตัวอย่าง การลดหย่อนภาษีด้วยดอกเบี้ยบ้าน
นาย ก. | VS | นาย ข. |
1,200,000 | เงินได้ | 1,200,000 |
- | ดอกเบี้ยบ้าน | 100,000 |
25% | อัตราภาษี | 20% |
135,000 | ต้องเสียภาษี | 101,200 |
10.88% | อัตราภาษีแท้จริง | 8.43% |
การลดหย่อนภาษีด้วยดอกเบี้ยบ้านสามารถประหยัดเงินได้ถึง 130,500 - 101,200 = 29,300 เลยทีเดียว
Tips : ในกรณีที่เป็นการกู้ร่วมเพื่อซื้อบ้านจะไม่สามารถโอนดอกเบี้ยกู้ยืมเงินให้ผู้อื่นได้ จะเฉลี่ยตามผู้กู้เสมอ ยกเว้นแต่เป็นการกู้ร่วมของสามีภรรยาที่จดทะเบียนตามกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีเงินได้ สามารถใช้สิทธิโอนดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับอีกฝ่ายได้
นอกจากบ้านจะเป็นเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของสังคมแล้ว คงเห็นแล้วนะครับว่าการผ่อนบ้านสามารถนำมาลดหย่อนได้อีกด้วย
ที่มา : www.krungsri.com