• หน้าแรก

  • HR Articles (hide)

  • Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์

Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์

  • หน้าแรก

  • HR Articles (hide)

  • Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์

Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์



เราสามารถสร้างการคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาได้ มากกว่าแค่การเรียกมานั่งสัมภาษณ์งานเท่านั้น ซึ่งกระบวนการต่างๆ สามารถที่จะทดสอบตลอดจนวัดค่าในมุมต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย ที่สำคัญกระบวนการสรรหาที่คัดสรรนี้ยังช่วยสร้างการรับรู้ที่ดีในองค์กรได้เช่นกัน เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีการคัดสรรที่สร้างสรรค์อะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

การคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการสร้างสรรค์ (Creative Recruitment)

1.สัมภาษณะการแข่งขันกันเชิงทัศนคติ (Fighting Attitude Interview)

ยุคนี้เป็นยุคที่ใครๆ ต่างก็มีความสามารถกันทั้งนั้น แต่ในทางตรงกันข้ามยุคนี้เป็นยุคที่ตามหาคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงานได้ยากกว่าเมื่อก่อนมากเช่นกัน หลายองค์กรในยุคนี้มองข้ามความสามารถเป็นหลักไป ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ แต่สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นในด่านแรกตั้งแต่ใบสมัครและ Resume ไปแล้ว ซึ่งผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหลายแทนที่จะมาสู่รอบสัมภาษณ์งานอย่างเมื่อก่อน แต่จะกลายเป็นว่าเชิญมาสัมภาษณ์เชิงทัศนคติแทน การสัมภาษณ์เชิงทัศนคตินั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย เพราะทุกการสัมภาษณ์นั้นต่างก็มีการเช็คเรื่องทัศนคติอยู่แล้ว แต่เทรนด์ที่กำลังมาในยุคนี้ก็คือการแข่งขันกันด้านเชิงทัศนคติที่มีการเชิญผู้ถูกคัดเลือกมาเป็นกลุ่ม สัมภาษณ์ร่วมกัน เพื่อวัดทัศนคติโดยเฉพาะ

การสัมภาษณ์ในลักษณะการแข่งขันกันเชิงทัศนคติ (Fighting Attitude Interview) นี้เป็นการฟาดฟันความสามารถกันในรูปแบบ Soft Fighting มากกว่าที่จะฟาดฟันกันอย่างหนักหน่วงแบบ Hard Fighting ที่วัด Performance ด้านการทำงานกัน แต่การสัมภาษณ์ที่มีการต่อสู้กันในเชิงทัศนคตินี้จะไม่ได้เน้นการแข่งขันกับคู่แข่งคนอื่น แต่จะเน้นที่การแข่งขันกันของตัวผู้สมัครเองเสียมากกว่า เรียกได้ว่าใครเป็นตัวเองได้โดดเด่นที่สุด มีทัศนคติต่อตนเองและผู้อื่นได้ยอดเยี่ยมที่สุด มันจะเห็นกันได้ชัดเจนมากเมื่อทำการคัดเลือกแบบกลุ่มนี้

การคัดเลือกในลักษณะนี้ทำได้ไม่ยากเย็นเลย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด ถ่ายทอดความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้องค์กรสัมผัสให้ได้มากที่สุด แสดงความคิดเห็นในทัศนคติของเราให้มากที่สุด นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด ทุกคำถามมักจะเป็นคำถามปลายเปิดให้เราแสดงทัศนะ หรือเป็นคำถามปลายปิดที่เฉพาะเจาะจงแต่มักเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การทำงานของเราโดยตรงมากกว่า การตอบคำถามของผู้สมัครนั้นไม่ยากเลย แต่ในส่วนนี้จะมาหนักในส่วนของผู้ทำการคัดเลือกมากกว่าที่จะมีหลักเกณฑ์ตลอดจนจิตวิทยาในการคัดเลือกอย่างไร ซึ่งองค์กรจะคัดเลือกคนที่มีทัศนคติสอดคล้องกับองค์กรมากที่สุด เพื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

2.การคัดสรรจากกระบวนการเวิร์คชอป (Workshop Recruitment Process)

การคัดสรรโดยใช้กระบวนการ Workshop นี้เป็นกระบวนการที่ทำกันมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่นิยมเฉพาะบางกลุ่มธุรกิจอยู่ เพราะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงและสิ้นเปลืองพอสมควรเช่นกัน แต่สำหรับในยุคนี้ที่หลายองค์กรต่างก็สร้างสรรค์วิธีการสรรหารูปแบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ การคัดสรรแบบกระบวนการ Workshop นี้จึงกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และสร้างสรรค์ไปในหลายลักษณะทีเดียว

ถึงแม้ว่ากระบวนการคัดสรรนี้จะใช้เวลาค่อนข้างมาก และใช้การลงทุนที่สูงกว่าวิธีทั่วไป แต่การคัดสรรกระบวนการนี้จะทำให้เราได้เห็นวิธีการทำงานของแต่ละคนจริงๆ รวมถึงทัศนคติในการทำงานได้อีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นฝีมือของผู้เข้าร่วมคัดเลือกเลยว่ามีศักยภาพในการทำงานมากน้อยแค่ไหน หรือมีศักยภาพที่จะส่งเสริมในด้านใดให้ก้าวหน้า ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกับองค์กรได้หรือไม่ ซึ่งมันคุ้มค่าเป็นอย่างมากสำหรับการต้องการคัดสรรบุคลากรที่มีคุณภาพจริงๆ ทำงานให้กับองค์กรได้แน่นอน และมีแนวโน้มที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรได้ในระยะยาว

3.เข้าค่ายฝึกวิชาในหลากหลายทักษะ (Bootcamp)

จะว่าไปแล้วลักษณะของ Bootcamp นี้ก็คล้ายกับการ Workshop อยู่เหมือนกัน แต่หัวใจของ Bootcamp จากจุดเริ่มต้นจริงๆ นั้นชัดเจนกว่า Workshop ซึ่งนั่นก็คือการเข้าค่ายเพื่อคัดเลือกคนเข้าทำงานนั่นเอง โดยคำนี้เริ่มใช้ครั้งแรกๆ ในยุคปี ค.ศ.1898 ในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการทาหารของกองทัพสหรัฐนั่นเอง ซึ่ง Boot นั้นมีความหมายหนึ่งว่า “การเริ่มต้นใหม่” เป็นความหมายตรงตัวว่าค่ายแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันการฝึกทหารทุกคนต้องสวม Boot ซึ่งก็คือรองเท้าบูทด้วยนั่นเอง มันก็เลยกลายเป็นคำแสลงที่ใช้เรียกการเข้าข่ายลักษณะนี้ไปด้วย ซึ่งมันหมายถึงการเข้าค่ายที่มีการฝึกฝนเข้มช้นอย่างหนักดังค่ายทหารไปด้วยนั่นเอง

คำว่า Bootcamp กลับมามีความนิยมในยุคเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันคนที่นำกลับมาใช้จนประสบความสำเร็จและกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างสำหรับนิยามใหม่ในยุคนี้ก็คือกลุ่ม Technology Business นั่นเอง โดยเฉพาะกลุ่ม Startup ทั่วโลกที่ปัจจุบันคำว่า Bootcamp กลายเป็นคำสามัญของแวดวงนี้ไปแล้วซึ่งมันมักหมายถึงแคมป์ที่คัดคนเข้าฝึกอบรมในหลากหลายทักษะในด้านการทำธุรกิจ Startup หรือ Tech Business นั่นเอง

โดยส่วนใหญ่แล้วการจัด Bootcamp นี้อาจไม่ใช่การเป็น Recruitment โดยตรงนัก แต่เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหางานตลอดจนสร้างธุรกจของตนเองสำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี ได้มีโอกาสฝึกฝนฝีมือตลอดจนได้รับการเทรนจากคนที่มีความสามารถหลากหลายด้าน หรือเป็นโอกาสที่จะทำให้เจอนักลงทุนเพื่อการจ้างงานได้เช่นกัน ในขณะเดียวกันคนเก่งๆ ที่เข้าร่วมนี้ก็จะได้รับการจับตามอง รวมถึงถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ จีบไปทำงานได้อีกด้วย รวมถึงเชิญให้ไปร่วมงานหรือลงทุนภายใต้องค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน หรือในอีกทางหนึ่งผู้ที่เคยผ่าน Bootcamp เจ๋งๆ มาก็ถือว่าเป็น Profile การสมัครงานที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนเป็นการสร้าง Resume ที่ดีสำหรับตนเองได้อีกด้วย

4.โปรแกรมการฝึกงานแบบฉบับพิเศษ (Special Internship Program)

การจัดโปรแกรมฝึกงานในรูปแบบพิเศษที่มีความเป็นจริงเป็นจังและมีความเฉพาะตัวนั้นเป็นที่นิยมในองค์กรขนาดใหญ่ตลอดจนองค์กรเชิงสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก โดยโปรแกรมการฝึกงานนี้ไม่ใช่ว่าใครจะขอเข้ามาฝึกงานก็ได้ แต่ทุกคนจะต้องส่งประวัติของตนเองเพื่อมาคัดเลือกให้ได้เข้าร่วมโปรแกรมนี้ ซึ่งนี่คือด่านแรกที่องค์กรจะได้คัดสรรคนดีมีความสามารถเบื้องต้นจากโปรไฟล์ตลอดจน Resume ของแต่ละคนเอง

ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเข้าโปรแกรมฝึกงานในแบบฉบับพิเศษที่องค์กรนั้นจัดขึ้นโดยเฉพาะ ได้ทดลองทำงานจริง ได้รับการสอนงานแบบเป็นจริงเป็นจัง รวมถึงบางองค์กรก็ได้ให้ผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมได้คิดค้นทดลองทำงานใหม่ของตนเองขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งการฝึกงานแบบนี้จะได้รับการเทรนกันจริงๆ ไม่ใช่แค่การฝึกงานเก็บชั่วโมงเท่านั้น แล้วในขณะที่ฝึกงานนั้นทางองค์กรก็จะคอยสังเกตการณ์แต่ละคนรอบด้าน เพื่อคัดสรรคนที่มีศักยภาพที่องค์กรต้องการให้เข้าร่วมงานกับองค์กรนั่นเอง หรือใครที่ไม่ได้รับการคัดเลือกนั้นก็จะได้รับองค์ความรู้ที่ดีเยี่ยม พร้อมที่จะทำงานที่องค์กรอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย แถมยังเป็นโปรไฟล์ที่ดีสำหรับใส่ลงไปใน Resume อีกด้วย

5.การแก้โจทย์ปัญหา (Solution Recruitment)

การคัดเลือกคนโดยการแก้โจทย์ปัญหานี้เป็นวิธีการสรรหาพนักงานที่ค่อนข้างสร้างสรรค์มากๆ และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถคัดสรรพนักงานได้ยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะบรรดาพนักงานหัวกะทิทั้งหลาย ซึ่งบางครั้งองค์กรจะปล่อยโจทย์ปัญหาให้แก่ไข ใครสามารถแก้ได้ก็สามารถเข้ามาร่วมการสัมภาษณ์งานได้ หรือบางครั้งองค์กรเรียกมาสัมภาษณ์แล้วส่งโจทย์แก้ปัญหาให้ผู้สมัครไปลองทำเป็นการบ้าน ซึ่งโจทย์นี้อาจเป็นการแก้ปัญหาที่มีคำตอบ ไปจนถึงการหาวิธีการต่างๆ ที่จะนำมาแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด

6.แข่งกันพรีเซนต์เรซูเม่ (Creative Resume Challenging)

Resume เป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนตลอดจนความสามารถของคนแต่ละคนได้ดีทีเดียว มีหลายองค์กรที่คัดสรรคนจากการสร้างสรรค์ Resume ของตนได้น่าสนใจอย่างแตกต่าง แล้วก็มีหลายองค์กรที่คัดสรรจากโปรเจกต์สร้างสรรค์ Resume ในธีมที่กำหนดอีกด้วย

7.กระบวนการสรรหาจากการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ (Team Building & Relationship Activity Recruitment)

การจัดกระบวนการกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ตลอดจนสร้างระบบทีมสัมพันธ์นั้นมักใช้กับกระบวนการพัฒนาศักยภาพพนักงานในองค์กร แต่มีบางองค์กรนำกระบวนการนี้มาใช้ในการคัดสรรพนักงานเข้าทำงานด้วยเช่นกัน โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากประวัติเบื้องต้นจะถูกเชิญมาทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ร่วมกัน เพื่อดูพฤติกรรมของผู้สมัคร โดยเฉพาะในเรื่องภาวะการเป็นผู้นำและการบริหารควบคุมการทำงานกับผู้อื่น ตลอดจนการจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น ซึ่งภาวะเหล่านี้สำคัญในการทำงานเช่นกัน โดยเฉพาะตำแหน่งที่เป็นผู้นำทั้งหลาย หลังจากนั้นองค์กรจึงคัดสรรพนักงานที่มีคุณสมบัติตามต้องการได้ วิธีการนี้อาจใช้เวลานานและเปลื่องงบประมาณ แต่ก็คุ้มค่าที่จะได้คนที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของงานจริงๆ

8.กระบวนการสรรหาจากภาระกิจที่กำหนด (Mission Recruitment Project)

กระบวนการสรรหานี้อาจคล้ายกับการแก้โจทย์ปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งโจทย์แบบเปิดเผย เข้าใจได้ง่ายๆ และเปิดให้ผู้สมัครนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ ในแนวทางที่น่าสนใจตามแบบของตน หรือบางครั้งก็เป็นการบอกผลว่าต้องการได้ผลลัพธ์อย่างนี้ ให้ผู้สมัครทุกคนหาวิธีที่จะได้ผลลัพธ์อย่างนี้ เป็นต้น การตั้งภาระกิจให้ทำนั้นถือเป็นการวัดศักยภาพได้ดีอีกวิธีหนึ่ง และสามารถวัดการทำงานได้ในระยะเวลาจำกัดได้ดีอีกด้วย

ประโยชน์ของการคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการสร้างสรรค์ (Creative Recruitment)

การสร้างสรรค์กระบวนการคัดสรรในรูปแบบใหม่ๆ นั้นมีประโยชน์ในหลายด้านต่อองค์กร ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนและประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทีเดียว

  • มีวิธีการคัดสรรเป็นแบบเฉพาะตัวของตัวเอง : บางองค์กรต้องการคุณลักษณะคนที่ต่างกัน และองค์กรเองจะรู้ว่าบุคคลไหนที่เหมาะกับตน ดังนั้นองค์กรสามารถสร้างสรรค์วิธีการคัดสรรเฉพาะตัวขึ้นมาได้ เพื่อเป็นวิธีการคัดพนักงานที่มีประสิทธิภาพในรูปแบบเฉพาะตัว
  • สร้างแรงจูงใจให้เหล่าคนเก่งอยากมาร่วมงานด้วย : คนที่มีความสามารถมักชอบความท้าทาย และมักอยากร่วมงานกับองค์กรที่น่าสนใจ การมีวิธีการสรรหาตลอดจนคัดสรรที่สร้างสรรค์นั้นจะช่วยดึงดูดคนที่มีความสามารถให้มาสมัครงานกับองค์กรต่างๆ ได้ดีทีเดียว และทำให้องค์กรมีตัวเลือกที่มีคุณภาพมากขึ้นอีกด้วย
  • องค์กรมีสิทธิ์ได้คนเก่งและมีความสามารถมาร่วมงานกับองค์กร : เมื่อมีคนที่มีความสามารถและมีศักยภาพมาเป็นตัวเลือกมากขึ้นองค์กรก็มีสิทธิ์ที่จะได้คนเก่งและมีความสามารถมาร่วมงานได้มากขึ้นด้วย และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
  • องค์กรมีศักยภาพมากขึ้น : การได้คนเก่งมีความสามารถมาร่วมงานย่อมทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น และทำให้องค์กรมีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้องค์กรประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นได้ด้วย
  • สร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ : การมีกระบวนการคคัดสรรที่สร้างสรรค์ในยุคปัจจุบันนั้นสามารถนำมาใช้ประชาสัมพันธ์องค์กรได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม สร้างการจดจำให้กับองค์กรได้ ตลอดจนสร้างความน่าเชื่อถือให้องค์กรได้ดีด้วยเช่นกัน นอกจากจะได้รับผลประโยชน์ทางด้านการสรรหาบุคลากรแล้ว องค์กรยังได้รับผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้ด้วย รวมถึงสามารถสร้างยอดขายของผลิตภัณฑ์ได้เช่นกัน
  • ฝ่ายบุคคลมีประสิทธิภาพขึ้นและได้รับความน่าเชื่อถือ : ฝ่ายที่รับผิดชอบด้านนี้โดยตรงก็คือฝ่ายบุคคล การที่ฝ่ายบุคคลสามารถสร้างสรรค์การคัดสรรได้อย่างน่าสนใจนั้นก็จะทำให้เป็นที่น่าเชื่อถือของผู้สมัคร ตลอดจนบริษัทอื่นๆ และช่วยส่งเสริมให้ฝ่ายบุคคลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย
  • เป็นสถาบันผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสู่สังคม : หากพนักงานจากองค์กรออกไปทำงานที่องค์กรอื่น พนักงานที่มีศักยภาพเหล่านี้ก็ยังสร้างชื่อเสียงให้องค์กรได้ด้วย ด้วยการเป็นพนักงานที่มีศักยภาพที่ผ่านการฝึกฝนและทำงานจากองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือ ไว้วางใจ ทำให้สร้างชื่อเสียงกลับสู่องค์กรได้อีกทาง

บทสรุป

ในยุค Career Disruption ที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปหมด โลกของการทำงานมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันกันดึงคนที่มีศักยภาพมาร่วมงานกับองค์กรให้ได้มากที่สุดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และองค์กรที่ได้คนมีศักยภาพไปร่วมงานด้วยก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูงเช่นกัน การสร้างสรรค์วิธีสรรหาตลอดจนคัดสรรพนักงานนั้นจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเพิมศักยภาพให้กับองค์กรในหลากหลายด้าน และทำให้องค์กรสามารถได้คนเก่งและมีพรสวรรค์มาร่วมงานได้มากกว่าวิธีปกติในรูปแบบเดิมๆ อีกด้วย เมื่อองค์กรได้คนที่มีความสามารถและศักยภาพมาร่วมงานแล้ว โอกาสที่องค์กรจะประสบความสำเร็จก็ตามมาเช่นกัน

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ ที่นี้


ที่มา : th.hrnote.asia

 2545
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

ผู้ได้รับรางวัลจากสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น แม้ไม่ต้องนำเงินรางวัลที่ได้รับมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้เงินรางวัลเต็มจำนวน เนื่องจากผู้ได้รับรางวัลจะมีภาระภาษีผ่านการจ่ายค่า ‘อากรแสตมป์’
10151 ผู้เข้าชม
นายปรี๊ดค้นเจอบทความชิ้นหนึ่งของผู้เขียน ชื่อ นาเดีย กูดแมน จากเว็บไซต์ ideas.ted.com ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ ดร.เคลลี่ แมคกอนิกัล (Kelly McGonigal) อาจารย์สาขาจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด ผู้เขียนหนังสือ “The Willpower Instinct” ซึ่งถูกแปลมากว่า 10 ภาษาและประสบความสำเร็จมากในประเทศญี่ปุ่น เป็นหนังสือสไตล์ฮาวทู (how to) เผื่อใช้จัดการวินัยในตนเอง บนฐานคิดและหลักฐานการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างความสำเร็จแก่ตนเอง
1251 ผู้เข้าชม
หน้าที่ที่คนทำงานทุกคนเจอไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตามคงไม่พ้นเรื่องของการยื่นภาษีที่เราต้องยื่นกันทุกปี เราลองมาสำรวจดูว่ามีข้อผิดพลาดไหนบ้าง ที่ส่วนใหญ่คนทั่วไปเผลอทำกัน
1154 ผู้เข้าชม
กระบวนการสมัครงานของคุณได้ผ่านพ้นไปแล้วตั้งแต่ขั้นตอนการส่งประวัติส่วนตัวไปยังนายจ้างการสัมภาษณ์งานในแต่ละรอบ จนตอนนี้คุณคือผู้ถูกเลือกจากนี้ไปคุณต้องทำอะไรบ้าง ตรวจสุขภาพ บางบริษัทอาจส่งคุณไปตรวจร่างกาย ว่าคุณมีสุขภาพดีสามารถทำงานให้เขาได้หรือไม่ ซึ่งหากไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหา ได้ทำงานแน่นอน หาผู้ค้ำประกัน หากเป็นงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเงิน ๆ ทอง ๆ อาจต้องมีผู้ค้ำประกัน ซึ่งบางแห่งไม่อนุญาตให้ญาติเป็นผู้ค้ำประกัน ผู้สมัครงานจึงต้องหาผู้ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับนับถือมาเป็นผู้ค้ำประกันให้ ทำสัญญาว่าจ้าง โดยทั่ว ๆ ไปเป็นสัญญามาตรฐานว่ามีการตกลงว่าจ้างงานกัน รวมถึงเรื่องอัตราค่าจ้าง ผลตอบแทนต่าง ๆ และข้อบังคับของบริษัท ทดลองงาน แม้คุณจะได้เข้าทำงานแล้ว แต่คุณยังไม่ได้เป็นพนักงานเต็มตัว ต้องผ่านการทดลองงานเสียก่อน โดยปกติแล้วใช้เวลา 3-6 เดือน จึงจะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ
3488 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์