ตายแล้วไปไหนไม่รู้… แต่ที่รู้ต้องไปเสียภาษี

ตายแล้วไปไหนไม่รู้… แต่ที่รู้ต้องไปเสียภาษี

ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี” หมายความว่า ถ้าตายไประหว่างปีไหน ปีนั้นก็จะกลายเป็นว่ายังต้องเสียภาษีอยู่ในชื่อของตัวเอง แต่เปลี่ยนฐานะใหม่เป็นผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี หรือพูดง่ายๆ ว่า ตายแล้วก็ต้องไปเสียภาษีอีกต่อหนึ่ง หลายคนคงเคยได้วลียอดฮิตอย่าง ‘Nothing is certain except for death and taxes.’ ของ Benjamin Franklin ที่แปลว่า ‘ไม่มีอะไรที่แน่นอนเท่าความตาย และ การจ่ายภาษี’


เราลองสมมติสถานการณ์ง่ายๆ กันก่อนครับ เช่น ถ้านายบักหนอมเป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่มีรายได้เดือนละประมาณ 100,000 บาท เรียกว่าอยู่ในระดับตัวท็อปของวงการมนุษย์เงินเดือนเลยทีเดียว แถมยังมีรายได้จากการให้เช่าที่ดินอีกเดือนละ 50,000 บาทต่อเดือนจากทรัพย์สินทีได้รับจากคุณพ่อเป็นมรดกตกทอดมา


นายบักหนอมแต่งงานกับภรรยา มีลูกน้อยอยู่หนึ่งคน ทุกวันนี้ดูแลทั้งภรรยาและลูกเป็นอย่างดี โถว พ่อเทพบุตรในฝัน คนดีแบบนี้หาได้ยากจริงๆ (เหมือนชีวิตจริงพรี่หนอมเป๊ะเลยครับ)


แต่แล้วฟ้าก็เหมือนมากลั่นแกล้ง นายบักหนอมทำงานอยู่ดีๆ ทำโอที (Over Time) ดึกไปหน่อย มีเป็นอันต้องหัวใจวายล้มฟุบคาโต๊ะทำงานไป เจ้านายมาเจอตอนเช้าก็เห็นแต่ร่างไร้วิญญานของนายบักหนอมเสียแล้ว และออฟฟิศที่ว่านี้ก็จะไม่กล้ามีใครพูดประโยค “งานหนักไม่เคยฆ่าคนอีกต่อไป”


คำถามคือนายบักหนอมตายแล้วไปไหนคงไม่มีใครรู้ แต่ถ้ามาดูภาระภาษีในชีวิตของนายบักหนอมตามหลักของกฎหมายแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าน่าสนใจกันเลยล่ะครับ


ถ้าเราลองค้นหาคำว่า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใน Google จะพบว่าอันดับแรกของการค้นหาคือเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ซึ่งให้ความหมายของผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

  1. บุคคลธรรมดา 
  2. ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล        
  3. ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี
  4. กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
  5. วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

ข้อแรกคำว่า ‘บุคคลธรรมดา’ คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ทั้งนั้น ว่าหมายถึงคนปกติทั่วไปหรือใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ คนนั้นคือบุคคลธรรมดาทั้งหมดนั่นแหละ


แต่ข้อ 3 ที่เขียนว่า ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี อันนี้บอกเลยครับว่า อ่านแล้วมีสะดุ้งกันหลายคน ถ้าหากนายบักหนอมคนเมื่อตะกี้ ตายไประหว่างปีไหน ปีนั้นก็จะกลายเป็นว่ายังต้องเสียภาษีอยู่ในชื่อของตัวเองนี่แหละ แต่เปลี่ยนฐานะใหม่เป็นผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี หรือพูดง่ายๆ ว่า ตายแล้วก็ต้องไปเสียภาษีอีกต่อหนึ่งนี่แหละจ้า


เอ๊ะ!! แต่ถ้านายบักหนอมตายไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้เงินเดือนแล้วนี่หว่า ก็แปลว่าไม่ต้องเสียภาษีใช่ไหม คำตอบคือ ไม่แน่ใจจ๊ะ! เพราะว่า หลังจากตายแล้ว ถ้าที่ดินที่ให้เช่ายังทำรายได้อยู่ แล้วเมียของนายหนอมกับลูกน้อยยังไม่ได้รับมรดกที่ดินก้อนนี้เสียที มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ศพนายบักหนอมที่นอนสงบอยู่ใต้ดิน หรือ อังคารที่ลอยไปตามน้ำนั้น ยังมีภาระต้องเสียภาษีอยู่ตามข้อที่ 4 ที่เรียกว่า กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง นั่นเอง


เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า เรื่องของภาษีนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มีทั้งการเสียภาษีในชื่อตัวเองปกติ ตัวเองที่ตายแล้ว และมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ซึ่งถ้าหากจัดการเรื่องภาษีได้ไม่ดี มันก็อาจจะมีปัญหาชีวิตได้เหมือนกันนะครับผม


ดังนั้น เราอย่ามีมรดกมากเลย แล้วก็พยายามทำงานเดือนชนเดือนไปดีกว่า ชีวิตจะได้มีความสุข ไม่ต้องมาทุกข์ใจเรื่องภาษี ตายไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรให้ยุ่งยาก แบบนี้ดีกว่าไหมน้า? แต่อย่างไรเราควรรู้เรื่องของ สิทธิและหน้าที่ของผู้เสียภาษี เพื่อจะได้ทราบสิทธิและหน้าที่ต่างๆของผู้ต้องเสียภาษีและปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย


ที่มา : www.scb.co.th.

 1898
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

เราสามารถสร้างการคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาได้ มากกว่าแค่การเรียกมานั่งสัมภาษณ์งานเท่านั้น ซึ่งกระบวนการต่างๆ สามารถที่จะทดสอบตลอดจนวัดค่าในมุมต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย ที่สำคัญกระบวนการสรรหาที่คัดสรรนี้ยังช่วยสร้างการรับรู้ที่ดีในองค์กรได้เช่นกัน เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีการคัดสรรที่สร้างสรรค์อะไรที่น่าสนใจกันบ้าง
2611 ผู้เข้าชม
เพื่อน ๆ ทราบไหมครับว่า ทำไมยอดเงินเดือนจริง ๆ ที่โอนเข้าบัญชีจากทางบริษัท ถึงน้อยกว่าเงินเดือนที่ระบุไว้ตอนทำสัญญาว่าจ้าง หรือทำไมตอนรับงานนอก ผู้ว่าจ้างโอนเงินให้เราน้อยกว่าค่าจ้างที่ตกลงกันไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ทั้งนี้ อย่าเพิ่งตกใจไปครับ
2693 ผู้เข้าชม
หลาย ๆ ท่านคงคุ้นเคยกับแนวคิดการบริหารคนจากต่าง Gen กัน วันนี้เราจะสรุปไว้เป็น 4 Gen และจะดูไปด้วยกันว่าในแต่ ละวัฒนธรรม (ไทยญี่ปุ่น จีน อเมริกัน) นั้นมีลักษณะแต่ละ Gen เหมือนหรือต่างกันอย่างไรด้วยครับ โดยการแบ่ง Gen ไมได้ หมายความว่ามี เส้นแบ่งโดย เด็ดขาด ว่า Gen ไหนก็จะต้องเป็นแบบนั้น แต่เป็นการบอกแนวโน้ม บอกความน่าจะเป็น ของกลุ่มคนโดยส่วนใหญ่ใน Gen นั้นเท่านั้น การแบ่ง นั้น บางตําราแบ่งเป็น 8 Gen คือ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง มี 3 Gen และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มี 5 Gen รวมกันเป็น 8 Gen แต่บางตำราแบ่งเป็น 5 Gen คือเหมารวมพวกก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเป็น 1 Gen และ พวกหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็น 4 Gen
3368 ผู้เข้าชม
ไม่มีการนิยามความหมายภาษาไทยชัดเจนสำหรับคำว่า Company Outings แต่มนุษย์ออฟฟิศส่วนใหญ่เข้าใจความหมายและชื่นชอบคำนี้กันเป็นอย่างดี โดยส่วนใหญ่มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า Outings (เอาท์ติ้ง) ซึ่งนี่ก็คือกิจกรรมที่ออกไปทำอะไรร่วมกันประจำปีของบริษัทนั่นเอง
3381 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์