ซื้อประกันชีวิตแล้ว นำไปลดหย่อนภาษีได้อย่างไร

ซื้อประกันชีวิตแล้ว นำไปลดหย่อนภาษีได้อย่างไร

หลักการในการลดหย่อนภาษีคือการนำค่าใช้จ่าย หรือภาระที่มีมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ หากใครมีภาระหนัก มีภาระต้องใช้จ่ายมาก ก็สามารถนำค่าใช้จ่ายส่วนนั้นมาหักลดได้ เช่น ค่าเลี้ยงดูตนเอง พ่อแม่ และลูก ค่าดอกเบี้ยผ่อนบ้าน ค่าการศึกษาของลูก เป็นต้น สำหรับการทำประกันชีวิตก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก กระนั้นก็ตาม หลายคนก็ยังอาจสงสัยว่าทำไมเบี้ยประกันชีวิตถึงนำมาลดหย่อนภาษีได้ และประกันชีวิตที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบนั้น ประเภทใดบ้างที่เราสามารถยื่นลดหย่อนภาษีได้และได้เท่าไร


ทำไมประกันชีวิตถึงลดหย่อนภาษีได้

การทำประกันชีวิตดูจะเป็นสิ่งที่ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ บางคนจึงอาจมองว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ได้จำเป็นเท่าไร แล้วทำไมรัฐบาลถึงให้สิทธิลดหย่อนกับคนที่ทำประกันชีวิต ที่เป็นเช่นนี้เพราะการทำประกันชีวิตก็คือการสร้างความมั่นคงอย่างหนึ่งคล้ายกับการออมเงินเผื่ออนาคตและเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยเงินที่ทำประกันสามารถให้ผลตอบแทนหรือชดเชยความเสียหายได้ เช่น มีเงินเลี้ยงดูตนเองเมื่อเกษียณหรือชรา หากเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุก็ได้รับเงินชดเชย หากเสียชีวิต ครอบครัวก็จะได้เงินค่าสินไหมจากประกันหรือเป็นการออมเงินสำหรับการศึกษาของลูก ดังนั้น รัฐบาลจึงสนับสนุนให้ประชาชนทำประกันชีวิตโดยการให้สิทธิลดหย่อนภาษีนั่นเอง เพื่อลดความลำบากและปัญหาของพลเมืองได้


ประกันชีวิตแบบใดบ้างที่นำมาลดหย่อนภาษีได้

กรมสรรพากรได้ระบุสิทธิการลดหย่อนภาษีโดยการนำเบี้ยประกันชีวิตมาหักลดได้ โดยประกันชีวิตที่ทำต้องคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยประเภทของประกันชีวิตที่สามารถนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษีได้ก็มี 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ ประกันชีวิตแบบทั่วไป และประกันชีวิตแบบบำนาญ

ประกันชีวิตแบบทั่วไป

ประกันชีวิตแบบทั่วไป สามารถนำเบี้ยมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดถึง 100,000 บาท โดยประกันชีวิตแบบทั่วไปนั้น ได้แก่

  • ประกันชีวิตชั่วระยะเวลาที่เน้นคุ้มครองชีวิตจากการเสี่ยงภัยในระยะไม่กี่ปี เช่น 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี เป็นต้น (ประกันชีวิตประเภทนี้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ หากมีอายุกรมธรรม์ 10 ปี ขึ้นไป)
  • ประกันชีวิตตลอดชีพ คือ ประกันที่คุ้มครองชีวิตยาวนานจนถึง 90 หรือ 99 ปี โดยอาจจะมีระยะเวลาการชำระเบี้ยประกันประมาณ 10 15 หรือ 20 ปี เพื่อเป็นมรดกให้กับคนข้างหลังในวันที่ผู้ทำประกันเสียชีวิต
  • ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นประกันที่ทั้งคุ้มครองชีวิตและเป็นเงินออมในขณะเดียวกัน ซึ่งผู้ทำประกันจะได้รับเงินตามจำนวนที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์เมื่อเสียชีวิตหรือเมื่อสัญญาครบกำหนด ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ 10 ปี 20 ปี หรือ 30 ปี หรือครบอายุผู้เอาประกัน 60 ปี ทั้งนี้ ถ้าหากได้รับเงินหรือผลประโยชน์จากประกันในระหว่างอายุกรมธรรม์ จะต้องได้ไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี จึงมีสิทธินำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้

ประกันชีวิตแบบบำนาญ

ประกันชีวิตแบบบำนาญหรือแบบเงินได้ประจำเป็นประกันชีวิตที่ทำเพื่อเป็นรายได้ยามชรา โดยบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายให้ผู้เอาประกันเป็นงวดๆ เหมือนเงินบำนาญนับตั้งแต่ปีที่สัญญาครบกำหนด เช่น เมื่อผู้เอาประกันอายุ 55 ปี - 85 ปี หรือมากกว่านั้น
 
เบี้ยประกันชีวิตประเภทนี้ที่จ่ายในแต่ละปี สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้มากกว่าประกันชีวิตแบบทั่วไป คือ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 200,000 บาท โดยต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน ทั้งนี้ เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เงินที่ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท


ควรทำประกันชีวิตแบบใด

แม้การทำประกันชีวิตจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ก็ไม่ควรมองการทำประกันชีวิตไปเพื่อลดหย่อนภาษีเป็นหลัก แต่ควรมองจุดประสงค์ที่แท้จริง นั่นคือ การคุ้มครอง และเลือกประเภทประกันชีวิตให้เหมาะกับเป้าหมายของเราเอง ซึ่งเราสามารถตรวจสอบเป้าหมายให้เหมาะสมกับประเภทประกันชีวิตได้จากตารางสรุปต่อไปนี้

ประเภทประกันชีวิต เป้าหมายการทำประกันชีวิต สิทธิลดหย่อนภาษี
ประกันชีวิตชั่วระยะเวลา
  • คุ้มครองชีวิตระยะสั้น
  • คุ้มครองชีวิตจากความเสี่ยง
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
ประกันชีวิตตลอดชีพ
  • คุ้มครองชีวิตตลอดชีพ หรือตามสัญญา
  • ออมเงินเพื่อใช้เมื่อชราหรือเมื่อหมดสัญญา
  • เป็นค่าใช้จ่ายหรือมรดกให้กับครอบครัวหรือญาติเมื่อเสียชีวิต
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
  • เพื่อออมเงินพร้อมกับได้รับการคุ้มครอง
  • เพื่อออมเงินให้บุตรหลาน
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
ประกันชีวิตแบบบำนาญ
  • เพื่อออมเงิน
  • เพื่อให้มีเงินใช้เมื่อชราไปตลอดจนกว่าจะเสียชีวิตหรือหมดสัญญา
ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน

** เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กบข. เงินที่ลงทุนในกองทุนรวม RMF และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท


เมื่อเราทราบแล้วว่า เป้าหมายของเราเหมาะกับการทำประกันแบบใด เราก็ค่อยวางแผนจัดสรรเงินมาทำประกันชีวิตตามที่เราต้องการ เช่น ต้องการทิ้งมรดกให้กับครอบครัวเพื่อให้พอกับค่าใช้จ่ายประจำวันเป็นเวลากี่ปี ควรทำประกันชีวิตตลอดชีพเท่าไร ต้องการออมเงินในประกันแบบสะสมทรัพย์ควรลงทุนเดือนละเท่าไรของรายได้เพื่อให้การใช้จ่ายเงินยังคล่องตัว หรือต้องการมีเงินใช้ตอนเกษียณ 20,000 บาท ต่อเดือน จะต้องออมในประกันชีวิตแบบบำนาญงวดละเท่าไร เป็นต้น จากนั้นจึงค่อยมาดูว่าเบี้ยประกันชีวิตของเราสามารถลดหย่อนภาษีได้เท่าไร


ทั้งนี้ นอกจากการทำประกันชีวิตที่สามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้แล้ว ก็ยังมีประกันประเภทอื่นที่สามารถลดภาษีได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถลดหย่อนได้มากเท่าประกันชีวิต นั่นคือ ประกันสุขภาพ ซึ่งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้เท่าจำนวนเบี้ยที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 15,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และเงินฝากที่จ่ายไว้กับธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท

การทำประกันชีวิตสามารถลดหย่อนภาษีได้เพราะรัฐบาลเล็งเห็นว่าประกันชีวิตเป็นการสร้างความมั่นคงทางหนึ่งของประชาชน กระนั้นก็ตามจุดประสงค์หลักของประกันชีวิตยังคือการคุ้มครองชีวิต หากคุณต้องการลดหย่อนภาษีก็ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่สามารถนำมาวางแผนลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถคำนวณสิทธิลดหย่อนภาษีเพื่อหาช่องทางลดหย่อนภาษีอย่างถูกกฎหมายเพิ่มได้อีกเช่นกัน


ที่มา : www.krungsri.com

 992
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

ก็ยังได้รับคำถามในแนวนี้อยู่ ก็คือ หน้าที่ในการพัฒนาพนักงานเป็นหน้าที่ของใครกันแน่ การที่จะส่งพนักงานไปอบรม หรือการที่เราจะวางแผนพัฒนาพนักงานในเรื่องใดนั้น ตกลงเป็นหน้าที่ใคร
3261 ผู้เข้าชม
วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ 10 ประการของงาน HR "Best Practice" หรือ "วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ" เริ่มเป็นที่คุ้นเคยกันในวงการธุรกิจ และอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง แท้จริงแล้วสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวผลงานที่ได้ แต่เป็นการนำเสนอวิธีการหรือกระบวนการที่ทำแล้วดีที่สุดในการได้ผลงานที่ดี เด่นสำเร็จออกมาแล้วนำเอาวิธีการหรือกระบวนการนั้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เพื่อให้แต่ละที่นำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรของตัวเองชาว HR ที่ไม่ต้องการตกยุคก็ต้องค้นคว้าหา "HR Best Practice" มาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
6093 ผู้เข้าชม
คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ เพราะว่ามันมีผลทั้งกับทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายที่มองหางานก็ต้องเตรียมตัวในการสัมภาษณ์ ฝ่ายที่จะรับเข้าทำงานก็ต้องนัดหมายคนที่เกี่ยวข้องเพื่อลงตารางเวลาสัมภาษณ์ ก่อนอื่นเราต้องกลับมาดูที่จุดประสงค์ของการสัมภาษณ์งานก่อน
4065 ผู้เข้าชม
เราสามารถสร้างการคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาได้ มากกว่าแค่การเรียกมานั่งสัมภาษณ์งานเท่านั้น ซึ่งกระบวนการต่างๆ สามารถที่จะทดสอบตลอดจนวัดค่าในมุมต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย ที่สำคัญกระบวนการสรรหาที่คัดสรรนี้ยังช่วยสร้างการรับรู้ที่ดีในองค์กรได้เช่นกัน เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีการคัดสรรที่สร้างสรรค์อะไรที่น่าสนใจกันบ้าง
2702 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์