ความสำเร็จของคนทำงาน หรือ ประกอบธุรกิจ ที่สำคัญๆ มีอยู่ 4 อย่าง แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 Input หรือการรับข้อมูลเข้า ประกอบด้วยการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์
ส่วนที่ 2 Process หรือ การประมวลผล ประกอบด้วยการเอาความรู้ต่างๆที่ได้ เพื่อทำการคิดและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา และ ลงมือปฏิบัติเพื่อให้ความคิดนั้นๆ หรือ สิ่งที่เรียนมานั้น เป็นจริง เป็นรูปร่างขึ้นมา
ส่วนที่ 3 Output หรือ การแสดงผล ซึ่งก็หมายถึงการสื่อสารให้คนอื่นรับทราบถึงแนวความคิด หรือ สิ่งของที่เราสร้างเราทำ เพื่อให้คนอื่นรับทราบ หรือ กลุ่มเป้าหมายรับทราบเพื่อจะได้จัดซื้อ หรือ เข้าใจถึงการกระทำ และ การตัดสินใจของเรา
การเรียนรู้ จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
เราเรียนรู้กันมาตั้งแต่เกิด ดังนั้น คนที่ยังพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองได้มาก และ คงที่เท่าใด จะสร้างแนวความคิด และ มุมมองได้กว้างมากกว่าคนที่หยุดการเรียนรู้ไป
การเรียนรู้ทำให้เราเข้าใจในตัวเรา คนอื่น รวมทั้ง ระบบงาน และ ความเป็นไป มากขึ้น เราไม่ได้หยุดการเรียนรู้หลังจากออกจากห้องเรียน
เรายังคงต้องเรียนรู้อยู่เสมอ เช่น การเรียนรู้ทางด้านธุรกิจ การเรียนรู้ทางด้านบริหาร ฯลฯ ประสบการณ์จริงก็เป็นการเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่ง การรับฟังความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ ก็เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง
เรียนรู้ในทุกสิ่งที่คุณยังไม่เรียนรู้ แล้วเอาสิ่งที่คุณรู้มาปรับปรุงเพื่อใช้งานจริง แล้วคุณจะพบว่า ความรู้ของคุณยังไม่เพียงพอคุณยังต้องการเรียนรู้ อีกมาก
การเรียนรู้ทุกอย่างในสิ่งที่ตัวเองสนใจ สามารถนำมาใช้งานกับชีวิตได้จริง ตัวอย่าง เช่น นอกจากเรื่องบริหารและการจัดการ รวมทั้ง เรื่องภายในส่วนของผมเองแล้ว ผมจะสนใจทางด้านตกแต่งภายในเป็นพิเศษ รวมทั้งการออกแบบของสถาปนิกด้วย อีกทั้งยังชอบเรื่องการดูดวง ดูฮวงจุ้ย และ โหงวเฮ้ง ดูเหมือนว่ามันจะแยกแตกต่างกันไปเลย แต่สามารถประยุกต์ใช้ในงานได้ทั้งหมดจริงๆ
เมื่อย้ายตึกที่ผ่านมา ผมต้องใช้วิชาเหล่านั้นในการออกแบบสถานที่ทำงาน รวมทั้งทุกๆห้องในฝ่ายของผม ไม่เพียงเท่านั้นยังต้องดูด้วยว่า ฮวงจุ้ยของแผนกเป็นอย่างไร ใครจะมีผลกระทบอย่างไร และ แก้ไขได้อย่างไร โดยเฉพาะเจ้านายซึ่งหากเค้าดี เราก็ดีด้วย หากเค้าไม่ดี ทั้งแผนกก็ไม่ดี ดังนั้น จุดของเจ้านายเป็นสิ่งสำคัญ และอยู่ในจุดเป็นจุดตายของส่วนเลยก็ว่าได้
การรับคนเข้าทำงาน คนทั่วไปจะวิเคราะห์หาความสามารถในการทำงานของเขา บุคลิก ท่าทาง ส่วนผมนั้น ยังต้องคำนึงถึง โหงวเฮ้ง และ วันเดือนปีเกิด รวมทั้งเลขที่บัตรประชาชน มาประกอบการพิจารณาด้วย ของเหล่านี้ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่จริงๆแล้ว มันบอกอะไรเราได้หลายอย่าง จากประสบการณ์ที่ไม่เชื่อในสัมผัสที่ 6 ของตัวเอง ทำให้ต้องเชิญพนักงานออกก็มีเหมือนกัน
ความคิด หัวใจหลักหากต้องการประสบความสำเร็จ
ทำไมผมถึงถือว่าความคิดเป็นหัวใจหลัก เป็นงานประมวลผลที่สำคัญที่สุด ก็เนื่องจากว่า คนเราต่างจากสัตว์ทั่วไปก็ตรงที่เรามีความคิด นี่แหละ
ความคิดของคนที่จะประสบความสำเร็จน่าจะมีดังนี้นะครับ
1. ความคิดในเชิงบวก มีหนังสือเยอะครับเรื่องนี้ไปหาอ่านกันเองได้ครับ เพียงขอเน้นนะครับว่า เรื่องนี้สำคัญ และเป็นพื้นฐานของคนที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ ลองหาอ่านนะครับ
2. ความคิดที่เป็นระบบระเบียบ ความคิดเป็นสิ่งที่รวดเร็วและ สับสน บางครั้งเราสามารถคิดได้ ตลอด แต่จับต้นชนปลายไม่ได้เลยว่าคิดอะไรไป การจัดความคิดให้เป็นระเบียบนั้น ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนตนเองครับ เป็นพรแสวงครับ วิธีการนั้นวันหลังจะเอามาเขียนให้อ่านครับ
3. ความคิดสร้างสรรค์ อันนี้เป็นพรสวรรค์ หรือ พรแสวงก็ตามแต่อยากให้มี คิดสร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลายนะครับ ปรับปรุงสภาพแวดล้อม การทำงาน ตัวเราเองให้ดีขึ้น สร้างสรรค์ผลงาน และ การกระทำเพื่อประโยชน์ขององค์กรฯ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากนะครับ
4. ความคิดที่แตกต่างหัดคิดในมุมมองที่แตกต่างเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง อันนี้สร้างได้ครับโดยอย่ายึดติดกับ หนังสือ อย่ายึดติดกับสิ่งที่เห็น อย่ายึดติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ต้องลองหัดคิดดูครับ เป็นพรแสวงครับ
5. คิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า การคิดเช่นนี้เช่น บริษัทฯกำลังจะเปิดงานบริการใหม่ เราก็ควรคิดไว้ล่วงหน้าด้วยว่า ถ้าเราต้องทำงานบริการนั้นๆ จะต้องทำอะไรบ้าง ลองทำมาเป็นข้อๆครับ แล้วหาข้อมูลเพื่อใช้ในการทำงานต่อไป เรียนรู้ครับ จากนั้น ถ้าคิดเก่งกว่านั้น คุณจะมองงานของคุณออกเลยว่าจะไปในทิศทางใด และ คุณต้องการเรียนรู้เรื่องใดบ้าง ถ้าได้อย่างนี้แล้วก็ อืม
6. คิดให้ตนเองและ ผู้อื่นได้ดีสิ่งนี้เหมือนกับข้อแรก แต่ที่ต้องแตกประเด็นออกมาก็เพราะ การคิดให้ตนเองได้ดีมีอยู่ทุกคน แต่การคิดให้คนอื่นได้ดีด้วย เป็นเรื่องยาก และ เป็นความคิดที่มีคุณค่ามาก ผมชอบห้องนี้เพราะคนตอบกระทู้ทุกๆคนก็คิดอย่างนี้ อยากช่วยผู้อื่น อยากแบ่งปันความรู้ที่มีให้กับคนอื่นๆ มันหายากนะครับ แต่ในห้องนี้มีเพรียบ ผมแทบจะไม่เคยเห็นกระทู้ที่ไม่มีคนตอบเลย
7. ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา ประสบการณ์จะสอนสั่งเรา และ นำมันมาคิดใหม่ เพื่อปรับปรุงให้มันดีขึ้น สิ่งที่ผ่านมาไม่สามารถย้อนกลับได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบัน และ อนาคตให้ดีกว่าได้ ถ้าเราคิดหาวิธีการแก้ไขสิ่งที่เราผิดพลาดไว้ หากต้องประสบเหตุการณ์เช่นเดิมอีก เราก็จะสามารถจัดการได้ทันที ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ซ้ำรอยครับ
8. มีความคิดเป็นกลาง ไม่เบี่ยงเบนความคิดเข้าข้างตนเอง หรือ เข้าข้างสิ่งที่เรารับรู้ เป็นกันทุกคนครับ ดังนั้นจึงต้องฝึกฝนไม่ให้ความคิดของเราเข้าข้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องเป็นกลาง และ มีเหตุ มีผลครับ อันนี้ต้องมีการวิเคราะห์มาเกี่ยวข้อง และ ต้องฝีก ผมเองก็หลงบ่อยๆครับ แต่ตัวเองก็กำลังฝึกฝนเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน รู้ตัวครับว่ายังอ่อนหัดอยู่
9. คิดถึงความสำเร็จในอนาคตเป็นความคิดที่เป็นแนวทางให้เราได้ก้าวขึ้นไปครับ ให้คิดใหญ่ทำใหญ่ เรื่องนี้ผมอยากให้ทุกคนคิดเช่นนั้น เพราะการคิดใหญ่กว่าตนเอง เป็นการสะกดจิตให้เรามีความมุ่งมั่นและสร้างความมันใจให้กับตนเองได้เป็น อย่างดี คนที่คิดว่าประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น อย่าคิดในแง่ลบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จงเชื้อเชิญความสำเร็จ ไม่ใช่ผลักไสมันให้ไกลตัว
10. คิดและทำความเข้าใจถึงเหตุ และผล ของทุกๆสิ่ง คุณเคยเห็นผลลัพธ์ของบางสิ่ง แล้วเข้าใจถึงสาเหตุมันหรือไม่ว่าเป็นเพระอะไร การคิดย้อนกลับเป็นการหาข้อเท็จจริงอีกประเภทหนึ่ง อย่างเช่น ทำไมต้องสร้างรถไฟใต้ดิน ทำไมรถไฟฟ้า BTS ต้องมีจุดเชื่อมที่สยาม ลองคิดดูครับ
เรื่องความคิดต้องฝึกฝนครับ พรสวรรค์ ไม่สามารถสู้พรแสวงได้ครับ
ลงมือการปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆหากต้องการประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าจะหาความรู้มาได้ หรือ เรามีความคิดเพื่อการทำสิ่งใดๆนั้น หากไม่มีการปฏิบัติ ไม่ยอมทำให้เกิดขึ้น ไม่ทำฝันให้เป็นจริง ก็ไม่มีประโยชน์ หรือ ผลลัพธ์อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือน ไม่ได้คิด ไม่ได้เรียนรู้มา ดังนั้น ผมจึงเห็นว่า การปฏิบัติ ถึงแม้นไม่ใช่สิ่งแรกที่มี แต่สำคัญมาก ในความสำเร็จเช่นกัน
การมีความรู้ท่วมหัว หรือ มีความคิดดีๆ สามารถสร้างกันได้ บางคนตอนประชุม ความคิดอ่าน มากถึงมากที่สุด พอแจกงานให้ทำ กลับทำในสิ่งที่คิดไม่ได้ อ้นนี้ก็น่าคิดดีนะครับ
ตัวอย่างของผมที่เกิดกับตัวเองก็มีเช่น ผมตั้งใจจะไม่โต้เถียง หรือ แม้นแต่อยากทำให้ใครเดือดร้อนจากการออกความคิดเห็นของผม แต่พบว่า ความคิดเป็นไปได้ แต่ห้ามอารมณ์ไม่ได้นี่สิ บางครั้งก็เลือดขึ้นหน้าเหมือนกัน อยากจะพูดแรงๆ ก็ได้แต่เขียนให้เบาลง และ สงบสติของตัวเอง แต่ก็ไม่วาย เหน็บเล็กๆ แย่นะครับ ผมต้องปรับปรุงอีกมากครับ และ ผมต้องขออภัยท่านทั้งหลายด้วยจริงๆ หากความคิดเห็นของผมที่ลงไป ทำให้ท่านไม่พอใจ
ความคิด ถ้าเรายังไม่สามารถปฏิบัติได้ก็คือความคิด
ถ้าคุณเคยรู้สึกว่า สิ่งนี้ สิ่งนั้น เราเคยคิดแล้ว และมันเกิดขึ้นจริงในปัจจุบันทำให้ใครต่อใครร่ำรวยกันมา นี่ก็คือความบกพร่องทางด้านการปฏิบัติของเรา ทำไมเมื่อเราคิดได้ถึงไม่ลงมือ ทำไมเรามีความรู้เรื่องนี้ดีถึงไม่ลงมือ ส่วนใหญ่ก็จะมีข้อแก้ตัวร้อยแปด ตัวผมเองก็มีบางเรื่องครับที่คิด แล้วทำไม่ได้ มักต่อว่าตัวเอง และตบท้ายความคิดด้วยคำว่า "ไม่ได้ ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้ต้องได้ ต้องดี ต้องมี ต้องได้"และสร้างความเชื่อมันให้กับตัวเองขึ้นมาใหม่
ผมอยากให้ทุกๆคน พยายามทำในทุกๆอย่างที่คิด ถึงแม้นจะทำได้หรือไม่ได้ก็ตามอย่างน้อย เราก็ได้ทำได้ปฏิบัติจริงๆ หากเราทำแล้วทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องเสียใจเพราะเราได้พยายามแล้ว แต่ถ้าเรายังไม่ทำแล้วคนอื่นทำได้นี่สิ ควรจะเสียใจมากกว่าที่ตัวเองไม่ยอมลงมือทำให้มันเกิดขึ้นก่อน มีคนให้ คำคมกับผมว่า
"คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย"
การกระทำทางธุรกิจนั้น ในส่วนตัวผมก็มีหลักการทำงานดังนี้
1. หาข้อมูลก็คือการเรียนรู้ที่กล่าวไว้ในเบื้องต้นแล้ว
2. วางแผนงานเป็นกระบวนการของความคิด จัดผัง โครงร่าง ระบบงาน ฯลฯ ขึ้นมา
3. สมมติ ปัญหา และทางแก้ไขลองมองอีกมุมของความคิดครับ ว่า จะมีปัญหาใด และ จะหาทางแก้ไขได้อย่างไร หากมีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ ก็คุยกับผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาข้อสรุป จากนั้น เมื่อปัญหาใหญ่ๆ สามารถจัดการได้แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาทางด้านการปฏิบัติใช่ไม๊ครับ แต่ยัง เพื่อความแน่ใจต้องมีข้อต่อไปครับ
4. ทดสอบไม่ว่าทำวิจัย หรือ การทดสอบตลาดก็ตามเป็นสิ่งที่จำเป็นนะครับ เราไม่สามารถหาคำตอบก่อนการเกิดเหตุจริงๆ ได้ ดังนั้น เราเลยต้องมีการทดสอบเพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมายของเรา เพื่อนำมาศึกษาต่อครับ ว่าถ้าทำใหญ่ หรือ มากกว่านี้จะมีผลอะไรตามมา
5. ทบทวน และหาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทดสอบเมื่อได้ทดสอบแล้ว ก็นำข้อมูลที่ได้มาทบทวนอีกครั้ง และหามุมมองอื่นๆ ที่อาจเป็นปัญหา และหาทางแก้ไขไว้ก่อน บางครั้งก็มีบางครั้งก็ไม่มี แต่อย่างน้อยได้ทบทวน แต่แนะว่าถึงขั้นตอนนี้ ก็ควรมีตัวเลขต่างๆ สนับสนุนมากพอควรที่จะเดินต่อไปนะครับ
6. ลงมือปฏิบัติจริง ทำจริง ให้เกิดขึ้น ทำตามที่เราคิด คิดใหญ่ ทำใหญ่ เงินก็ก้อนใหญ่ขึ้น
7. หาหนทางเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อทำจริงก็จะพบปัญหาจริงๆต่างๆที่ตามมา การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็เกิดขึ้นในขั้นตอนปฏิบัติ อันนี้มองให้เป็นเรื่องธรรมชาติ คุณก็ไม่เคียดแล้ว ปัญหามีไว้สร้างปัญญา มีไว้เพื่อแก้ และ ในส่วนตัว เมื่อเจอปัญหา ผมมักจะบอกให้ใครต่อใครรับทราบไว้ว่า มันเป็นของสนุกครับ ถ้าไม่มีสิน่าเบื่อ
กับดักที่จะทำให้เราไม่สามารถปฏิบัติให้สำเร็จได้นะครับมันมีดังนี้
1. อดีตเพราะอดีตทำให้เราไม่กล้าที่จะทำ ความผิดพลาดในอดีตเป็นมารที่คอยจะทิ่มแทงเรา ให้เราหมดความมั่นใจ ทำให้เราไม่กล้า จงละทิ้งมันซะ เรื่องที่ผ่านมาก็ให้ผ่านไป การเริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ ได้แล้ว สิ่งที่คุณจะทำ มันไม่เกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาหรอก มันขึ้นกับปัจจุบันมากกว่าว่าคุณทำมันแล้วหรือยัง
2. อนาคตบางคนกลัวอนาคต กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น กลัวเจ๊ง กลัวไม่ได้เงินคืน กลัวไปต่างๆนาๆ ซึ่งมีความกลัวบ้างก็ดีนะครับ แต่การที่เรากลัวจนไม่กล้านี่ผมไม่แนะนำ ความกลัวสามารถกำจัดให้หมดได้โดยใช้ข้อมูลนะครับ หาข้อมูลให้มากเพื่อสนับสนุนความคิด ลดความกลัวลง เพื่อจะได้เริ่มกระทำให้สำเร็จสักทีนะครับ
3. ข้อมูลและ คำแนะนำการมีข้อมูลมากๆ หรือ การรับฟังคำแนะนำมากๆ มีทั้งดีและไม่ดี บางครั้งมันจะทำให้เราไม่สามารถตัดสินใจสิ่งใดได้อย่างเด็ดขาด มีความหวาดระแวง แต่ถ้าไม่มีข้อมูลเราก็ยังหวาดระแวงเหมือนกัน เฮ้อ ยากเนอะ เรื่องนี้ต้องใช้ความตั้งใจ และ ความแน่วแน่มั่นคงทางจิตใจ เป็นตัวขับเพื่อสร้างภูมิของตัวเอง ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ และ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
การสื่อสาร เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าคุณจะเรียนรู้มาได้อย่างดี มีข้อมูลมากมาย มีความคิดดีๆ มีไอเดีย เจ๋งๆ หรือ มีสินค้าอย่างเยี่ยมยอด หากคุณไม่สื่อให้คนอื่นรับทราบในสิ่งที่คุณมี ในสินค้าที่คุณทำ มันก็เหมือนกับ เพชรที่ยังไม่เจียระไน คนที่เห็นคุณค่าต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์จริงๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีคนเห็นคุณค่า
ในส่วนของคนทำงาน ทำไมต้อสื่อสาร ส่วนหนึ่งก็เพื่อลดการทำงานซ้ำซ้อนหรือผิดพลาด ไม่เข้าใจที่จุดไหนก็ถามเลย จะได้มีคนอธิบายให้เข้าใจ และอีกส่วนหนึ่งที่ผมเน้นคือ การสื่อสารให้คนอื่นรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างไร เรามีความคิดอย่างไร เราสามารถโฆษณาตัวเราเอง รวมทั้งผลงานของเราได้อย่างไร การโฆษณาไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ เราเอาแต่ข้อเท็จจริงเสนอให้คนอื่นๆรับทราบเท่านั้น มันจะส่งผลกลับมาเองครับ
มีคนเคยบ่นให้ฟังว่า "ทำดีเสมอตัว" ผมก็แนะเค้าให้"ทำดีเสนอตัว"
จะได้ให้คนอื่นรับทราบว่า สิ่งที่เราทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า เป็นประโยชน์ เพราะไม่เสนอตัวให้ใครๆรับทราบ เค้าจะรู้หรือว่าเราดี
จะสื่อต้องมีสาร อยากจะเน้นคำว่าสารสักเล็กน้อย เพราะ เจ้าสารที่ว่ามันระบุถึงความต้องการที่จะสื่อออกไป ดังนั้นอยากให้ตระหนักถึง ข้อมูลที่เป็นจริง เกิดประโยชน์ เหมาะสมกับกาลเทศะ สุภาพ และ นอบน้อมแบบไทยๆ
บางคนสื่อสารแบบไม่เกิดประโยชน์ สักแต่ด่า แต่ว่า มีแต่ตำหนิ ไม่มีเหตุมีผล โกหก หลอกลวง ก็มีครับ ถ้าให้ดีก็อย่าสื่อสารประเภทนี้ออกมาเลยจะดีกว่า เพราะมันจะทำให้คุณค่าของเราลดลงไป
ทางด้านธุรกิจ สินค้าที่ผลิตขึ้นไม่ว่าจะเลอเลิศเพียงใด หากไม่มีการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าแล้ว อนาคตของสินค้าก็ดูเหมือนมืดมน โฆษณาเป็นการสื่อสารที่ให้ผลกับการตลาดเป็นอย่างมาก สินค้าบางตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ยังสามารถขายได้เป็นหลายๆล้านเลย แต่ราคาค่าโฆษณานี่สิแพงมากเหมือนกันนะครับ
ทั้งหมดก็เพียงอยากให้เห็นความสำคัญของทั้ง 4 ส่วนเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงาน หรือแม้นแต่ธุรกิจ ผมอยากเห็นคนร่นใหม่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมานั่งลองถูกลองผิด เหมือนผม
หลักการทั้งหมดก็ได้จากประสบการณ์จริงที่ผ่านมา แล้วก็เอามาประมวลให้เป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อง่ายต่อเพื่อนๆน้องๆ ได้เข้าใจความจริงเท่านั้น ผมก็เข้าใจครับว่ามันไม่ได้ดีหรือวิเศษอย่างไร ดังนั้นก็อยากให้ทุกคนได้แนะนำ ความคิดในแนวทางเหล่านี้มากๆครับ เพื่อผมจะได้ปรับปรุงความคิดของผม และ เพื่อนๆ น้องๆ ให้ดีขึ้นต่อไป
ที่มา : http://www.bloggang.com