หนทางที่ทำให้ผมหลุดออกมาเป็นผู้บริหารเต็มตัว

หนทางที่ทำให้ผมหลุดออกมาเป็นผู้บริหารเต็มตัว

 
     ธิดาเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมขายรับผิดชอบพนักงานขายหกคน เธอเป็นคนกระตือรือร้นด้วยประสบการณ์การขายสามปี เธอต้องการจะบริหารทีมงานด้วยการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่เรียกว่า
 Participative management

     ในการประชุมทีมขายครั้งแรก เธอขอความเห็นจากทีมเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการขายเพื่อช่วยเพิ่มยอดขาย ทีมงานกระตือรือร้นมากต่างเสนอแนวคิดที่หลากหลาย การแระชุมผ่านไปเก้าสิบนาทีโดยไม่มีอะไรคืบหน้า เมื่อจบการประชุมธิดาตัดสินใจเลือกวิธีของเธอซึ่งไม่ตรงกับแนวทางที่ทีมงานเสนอเธอมา


    สัปดาห์ต่อมาเธอบอกกับทีมถึงแนวคิดของเธอ ทีมงานมีท่าทีไม่ปลื้มเท่าไรแต่ธิดาไม่ทันสังเกต เมื่อจบโครงการตัวเลขขายพลาดเป้าไปอย่างมาก

    ธิดาเรียกประชุมอีกครั้งถามความเห็นว่ามีแนวทางใหม่ๆอะไรอีก ทีมงานเงียบกริบ ธิดาหงุดหงิดกับท่าทีไม่ยอมแสดงความคิดเห็นของทีม แต่โชคดีเธอยังมีทักษะหัวหน้างานที่ดีคือเก็บความรู้สึกเอาไว้แทนที่จะระเบิดใส่ทีมงานของเธอ เมื่อจบประชุมเธอดึงหน่อยหนึ่งในทีมงานที่พอคุ้นเคยไปทานข้าวกลางวัน

    ธิดาถามหน่อย “ทำไมงวดนี้ทีมงานของเราไม่เสนอแนะแบบความก่อนเลย” หน่อยตอบ “พี่ดาเราเสนอแนะไปจมเลยคราวที่แล้ว แต่พี่ไม่เอาอะไรไปใช้เลย อย่าโกรธนะพี่ พี่เล่นไอเดียของพี่คนเดียวเลยนี่คะ”

    ธิดาพูดต่อ “แต่แหมไอเดียพวกเราไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไร พี่เลยเลือกของพี่ที่น่าจะเวิร์ค” หน่อยกล่าวต่อ “แล้วไงละพี่ ไดเดียพี่ก็ดี แต่มีรูโหว่เยอะ เราไม่อยากบอกแล้วเพราะพี่คงไม่ฟังอยู่ดีแหละ”

    ธิดาจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาณรงค์หัวหน้า “พี่รงค์คะ ธิดาควรทำอย่างไรดี ดาอ่านจากหนังสือว่าการบริหารสมัยใหม่ต้องสร้างการมีส่วนรว่มแล้วกลับไม่เวิร์คนะคะ”

    ณรงค์กล่าว “ถูกครึ่งหนึ่งนะที่เราพูด การบริหารแบบนี้ดี แต่ต้องให้ให้เป็น นอกจากนี้บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วม ยกตัวอย่างพนักงานทุจริตเธอก็ต้องว่าตามวินัยไม่ต้องรอการมีส่วนร่วม กลับมาที่ การบริหารแบบ Participative Management นั้นเขามีสี่ระดับสำหรับการเปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วม ระดับหนึ่งเธอต้องการแค่ข้อมูล ระดับสองต้องการความเห็น ระดับสามทั้งสองอย่า และระดับสี่รวมการตัดสินใจเข้าไปด้วย แต่ละระดับก็ใช้เวลาต่างกัน



     ผมเริ่มงานจากคนทำงานธรรมดา โปรแกรมเมอร์ธรรมดา จนขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นเช่นนี้ก็คือแนวความคิดของผม ซึ่งผมมี แนวความคิดเพื่อการเป็นหัวหน้างาน อย่างนี้ครับ 

     1. คิดว่าเราเป็นเจ้าของบริษัทฯ โปรแกรมเมอร์ทางด้านสายการผลิตมีข้อมูลจำนวนมาก ผมก็อยู่สายนี้ ทำ  Database เหมือนกันแต่คนละตัว ผมไม่ได้มองว่าเราต้องมีลูกน้องถึงจะบริหารได้ ลองคิดใหม่ว่า ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัทฯ เราต้องการรายงานพิเศษอะไรบ้างทางด้านสายการผลิตเพื่อส่งผลให้งานผลิตดีขึ้น  แล้วสร้างโปรแกรมรายงานนั้นขึ้นมา แล้วนำเสอนหัวหน้างาน รวมทั้งเจ้านายของหัวหน้างานด้วย ปกติเวลาผมทำรายงานขึ้นมาใหม่ ผมก็จะมีชื่อย่อของผมเสมอ และวันที่ที่ผมแก้ไขที่ท้ายรายงาน รวมทั้งชื่อโปรแกรม เสมอๆ อยู่ที่บรรทัดสุดท้ายของรายงาน เช่น Designed=WBJ (12/01/2003), Pgm=WBJ (26/06/2003) // Summary Report => Total expend by monthly (operation) หมายถึง ออกแบบโดย ผมวันที่ 12/01/2003 เขียนโปรแกรมโดยผม วันที่ล่าสุด โปรแกรมเมนูชื่อ  ชื่อโปรแกรม 

     บังเอิญุถ้าผมดูแต่หน้าตารายงาน บางทีจำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ถ้ามีส่วนข้างหลังก็จะทำให้สามารถดูได้ว่าเป็นโปรแกรมอยู่ที่ไหน เผื่อขอรายงานใหม่ หรือ ขอแก้ไขจะได้ตามถูกจากการกระทำข้างบนส่งผลถึงความก้าวหน้าอย่างไร เนื่องจากการออกแบบรายงานเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงตัดสินใจ ส่วนใหญ่บรรทัดสุดท้ายคือ สรุปจำนวนต่างๆ ซึ่งผู้บริหารจะดูช้อมูลเหล่านี้ ก็จะเห็นข้อความที่เราพิมพ์ขึ้น แรกๆเค้าก็ไม่ใส่ใจหรอก แต่ติดใจ พออยากได้เพิ่มเติมถึงติดต่อกับมาว่า
 WBJ คือใครก็มี เป็นการโปรโมทตัวเองทางหนึ่ง หรือง่ายๆก็คือการสื่อสารทางอ้อมจ๊ะ

                                                                                               

     2. ไม่เพียงพัฒนาส่วนงานของเราให้ดีขึ้น แต่หวังให้ทั้งบริษัทได้พัฒนาให้ดีขึ้น อันนี้ตรงตัว ต้องขอบอกว่า ต้องจุ้นจ้านบ้างเล็กน้อย เสนอตัวแก้ไขปัญหาต่างๆของส่วนอื่นๆบ้าง เช่น User ติดขัดเรื่องคอมฯ ก็เข้าไปช่วย ไม่ว่าเรื่องโปรแกรมต่างๆเช่น Word Excel Poewerpointควรจะรู้รอบโปรแกรมเหล่านี้ด้วย ส่งเสริมให้พนักงานทุกคนใช้คอมฯ ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จ ข้อนี้จะส่งเสริมบารมีของเราให้มีมากขึ้น ทั้งภายในและภายนอก แต่อยากให้ทำด้วยหัวใจจริงๆมากกว่า

 

     3ยกย่องบุคคลอื่นๆ มองหาข้อดี เรื่องนี้ยากครับ ต่อให้ผู้บริหารบางคนยังไม่ยอมทำเลย แต่ถ้าทำแล้วเป็นเรื่องง่ายๆ และ ส่งผลดีเป็นอันมาก เช่น "โปรแกรมนี้เจ้านายผมเป็นคนคิดครับ ท่านออกแบบรูปแบบรายงานมา ผมเพียงปรับปรุงแก้ไขนิดหน่อยครับ "ถ้าผู้บริหารฟัง หรือ เจ้านายคุณรับรู้คุณว่าเค้าจะคิดกับคุณอย่างไร แต่ถ้าคุณบอกว่า "อ๋อ. เจ้านายออกแบบมาไม่ค่อยดี ผมก็เลยเปลี่ยนมันเป็นอย่างนี้ครับ" อันนี้ Discredit เจ้านายและยกย่องตัวเอง จะทำให้เรามีปัญหามากขึ้น มองหาข้อดีของเรา และ ของทุกคน เรื่องไม่ดีไม่ต้องมอง ไม่ต้องพูดเลย มันจะช่วยให้การติดต่อกับคนง่ายขึ้น ทำแบบจริงใจ ไม่เสแสร้งนะ (อันนี้ต้องฝึก เมื่องานหนึ่งงานเป็นของทีมงานก็ต้องเอ่ยชื่อคนที่ทำ หรือ คนที่คิดเสมอ เราไม่สามารถเก่งทุกเรื่อง ไม่มี HERO คนเดียวในโลกนี้

 

     4. ทำให้ดีกว่าดีที่สุด อย่าเกี่ยงเรื่องการเขียนโปรแกรมเพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังลดค่าของคุณเอง คุณเก่งทางด้านโปรแกรมก็เอาความเก่งทางด้านนี้มาใช้งานสิครับ อย่าเป็นเลย  SA = Slow Activity ไม่ดี เราต้องActive & Active ดีกว่า ซึ่งจะส่งผลให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นครับ รายงานที่เจ้านายขอมาผมไม่เคยทำแค่นั้น แต่มักจะมองว่า สามารถทำให้ได้ข้อมูลมากกว่านั้นหรือไม่ แล้วทำ เพื่อแสดงศักยภาพของตัวเองครับว่าเรามี กึ๋น นะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ เช่น ทำรายงานที่สรุปยอดค่าใช้จ่ายในแผนก ว่าเป็นยอดเงินเท่าไหร่ ผมก็จะแถม เฉลี่ยต่อคนเท่าไหร่ เฉลียต่อวันเท่าไหร่ให้ด้วยเพื่อให้ผู้บริหารง่ายต่อการพิจารณา

  

     5. สร้างทีมงานที่มีอยู่ เราไม่สามารถเลือกสิ่งแวดล้อมในการทำงานได้ครับ แต่เราสามารถสร้างมันได้ ทีมงานเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยผลัก และ ดันเราให้ประสบความสำเร๋จ การจะขึ้นไปข้างบน ทีมงานมีส่วนช่วยมาก และอีกอย่าง ต้องสร้างบารมีตั้งแต่ตอนนี้ครับ เอาไว้ใช้ภายภาคหน้าด้วย         

 

      6. ยินดีกับความสำเร็จของผู้อื่นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณ และ เจ้านายของคุณต้องคุยกัน เพราะถ้าคุณมีความสามารถที่จะขึ้นเทียบเท่าเจ้านายคุณ เจ้านายคุณจะส่งเสริมคุณหรือไม่ ส่วนใหญ่100 คน จะมีสักคนไม๊ ที่จะยอมรับได้ เจ้านายสมัยใหม่ยอมได้ครับ แต่ถ้า น้องโบ มากๆก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้น คุณต้องสร้างความยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นภายในตัวเองขึ้นมาก่อนๆ ที่จะให้คนอื่นยินดีในความสำเร็จของตัวคุณเอง อันนี้ยาก แต่ถ้าทำได้มีผลดีหลายอย่างที่ส่งผลกลับมานะครับองค์กรของผมเล็กๆครับ พนักงานประจำประมาณ 300-400คนเองแต่ถ้ารวมพนักงานชั่วคราวด้วยก็ พันกว่าๆครับ แต่เป็นเพราะรายงานของผมนั้นต้องส่งผ่านให้กับเจ้านายผมอีกทีครับ แต่ส่วนใหญ่ งานที่ส่งไปไม่แป๊กครับ ก็เลยถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ จึงมีโอกาสก้าวหน้าครับถ้าคุณพยายามทำให้ดีที่สุด ก็จะสามารถเสนอผลงานได้เหมือนกัน อย่ากลัวเรื่องข้อมูลจะสูญหายระหว่างระดับครับ มันต้องไต่ทีละระดับอยู่แล้ว อีกอย่างที่ผมเน้นคือ คุณต้องโฆษณาตัวของคุณเองด้วยครับ อย่าพัฒนาความรู้ความสามารถเพียงอย่างเดียวครับ คุณเก่งแต่ไม่มีคนรู้ก็เท่ากับคุณเป็นคนธรรมดาครับ อีกข้อครับ เผื่อแผ่ความเก่งของคุณด้วยนะครับ จะได้มีคนเผื่อแผ่ให้คุณเหมือนกัน แต่อย่าอวดเก่ง อันนี้สำคัญ นอบน้อมถ่อมตนมากๆครับ ผมเองก็ไม่ใช้ว่าจะเก่งนะครับ แต่อยากแชร์ความรู้นะครับ  



ส่วนแนวทางพัฒนาการทำงานให้บรรลุเป้าหมายนั้น

ผมยึดหลัก อยู่ 4 ข้อ ซึ่งก็บอกให้ลูกน้องปฏิบัติด้วยเช่นกัน 

     1. เรียนรู้ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับงาน ทุกอย่างที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ รวมทั้งเรียนรู้ในศาสตร์ต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่สามารถมีส่วนช่วยในหน้าที่การงานครับ รวมถึงการรับฟัง คำแนะนำติชมด้วยครับเเรื่องการเรียนรู้ส่วนใหญ่ ผมจะเรียนเตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนการทำงาน หรือ วางแผนงาน เช่น หากประเมิณแล้วว่างานต้องการใช้สิ่งใด เช่นMulti-Media ในช่วงแรกๆ ผมก็ศึกษาไว้พอเข้ามาถึงการใช้งานจริงๆ ก็สามารถเอาความรู้ที่สะสมมาประยุกต์ใช้งาน และ แนะนำน้องๆได้อย่างสบายๆ ครับ

      2. ความคิดเรื่องนี้เน้นมาก เพราะความคิดเป็นต้วหลักของทุกอย่าง มุมมองของผม ผมหวังแต่ให้องค์กรประสบความสำเร็จ ดังนั้น ความคิดดีกับทุกๆคน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมทำเป็นประจำ ถ้าคิดดี การทำงานก็จะดีขึ้น เพิ่มคุณค่าให้กับงานของเราจะทำให้การทำงานดีขึ้นครับ ไม่เพียงคิดดีแต่ต้องคิดรอบคอบ และ กว้างไกลด้วย มองไปข้างหน้าครับว่าในส่วน หรือ องค์กรต้องการอะไร ต้องใช้อะไร จากนั้นคิดหาหนทางว่า ถ้าเป็นเราที่ต้องทำในหน้าทีนี้ทั้งหมดมีอะไรบ้าง เราจะ Save Cost หรือมีหนทางปฏิบัติอย่างไร ส่วนใหญ่ได้ใช้เสมอ ถึงไม่ได้ใช้ ก็ยังดีกว่าไม่ได้คิดครับ.. และ ความคิดในการทำงานให้กับบริษัทฯ ส่วนใหญ่งานที่ผู้บริหารต้องการคือ งานที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ลองคิดพวกนี้ดูครับ

     3. การกระทำ  เมื่อคิดได้ ก็ต้องทำได้ ไม่ว่าลงมือปฏิบัติเอง หรือ สั่งให้ลูกน้องปฏิบัติ ก็ต้องนำเอานามธรรมที่คิดไว้ มาปฏิบัติเป็นรุปธรรม เช่น โปรแกรมใหม่ที่ฉีกแนวออกมา ทำให้ลูกค้าเมือใช้งานสามารถลดขั้นตอนการทำงาน และ เป็นที่ต้องการ เมื่อทางเราทำเสร็จบางส่วน ก็เสนอให้เจ้านายเพื่อไปเสนอขายลูกค้าอีกทีหนึ่ง รายได้เข้าบริษัทฯ ลูกค้าได้โปรแกรมที่ถูกใจ พนักงานได้ความดีความชอบWin-Win-Win ครับ

     4. การสื่อสาร  เราทำงานทำไมต้อสื่อสาร ส่วนหนึ่งก็เพื่อลดการทำงานซ้ำซ้อนหรือผืดพลาด ไม่เข้าใจที่จุดไหนก็ถามเลย ไม่พอใจก็พูดคุยกันได้ครับ ไม่ใช่ไปคุยกันลับหลัง และ อีกส่วนหนึ่งที่ผมเน้นคือ การสื่อสารให้คนอื่นรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างไร เรามีความคึดอย่างไร เราสามารถโฌฆษณาตัวเราเอง รวมทั้งผลงานของเราได้อย่างไร การโฆษณาไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ เราเอาแต่ข้อเท็จจริงเสนอให้คนอื่นๆรับทราบเท่านั้น มันจะส่งผลกลับมาเองครับ อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ประสบความสำเร็จครับ.. ผมใช้เวลามา 2 ปีเพื่อปรับปรุงน้องๆที่บริษัทฯ ทุกอย่างดีขึ้นมาก เราไม่สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานได้ครับ แต่เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เราต้องการได้ครับ ขอเพียงมีความจริงใจ มุ่งหวังให้ทุกคนได้ดี และ มั่นใจในการกระทำของตนเองครับ

ที่มา: http://www.bloggang.com

 1044
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

People Management

ไม่พบรายการที่คุณค้นหา
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์