ค่าชดเชยการเลิกจ้างจากการเกษียณ

ค่าชดเชยการเลิกจ้างจากการเกษียณ

จากสถิติประชากรศาสตร์ของประเทศนั้น จะเห็นว่า อีก 15 ปีข้างหน้า คนไทยอายุเกิน 60 ปี จะมีมากถึง 1 ใน 4 ของประเทศ ทำให้มีการผลักดันการแก้กฎหมาย โดยมีการเพิ่มมาตรา 118/1 ให้ถือว่าการเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้างตามมาตรา 118 วรรค เพื่อให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง และกำหนดอายุของการเกษียณอายุไว้ที่ 60 ปีบริบูรณ์

ทั้งนี้ หากไม่มีการระบุอายุเกษียณไว้ในสัญญาการจ้างงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ให้ใช้เกณฑ์อายุครบเกษียณที่ 60 ปี จะได้รับเงินชดเชยการเลิกจ้างงานทันที หลังจากนั้นอาจทำสัญญาฉบับใหม่ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่แตกต่างจากเดิมก็ได้ ถือเป็นการปฏิรูปครั้งสำคัญในกฎหมายคุ้มครองแรงงานรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งแต่ละปีจะมีลูกจ้างที่ครบกำหนดเกษียณอายุประมาณ 300,000-400,000 ราย

หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา โดยทางแพ่งโทษปรับสูงสุดตามค่าชดเชยที่ค้างรวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี หรือคิดเงินเพิ่มร้อยละ 15 ตามยอดเงินผิดนัดชำระ 7 วัน สำหรับโทษทางอาญาจำคุกสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำและปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท

กฎหมายฉบับใหม่นี้จึงเป็นประโยชน์กับลูกจ้าง โดยเฉพาะกับสถานประกอบการขนาดเล็กที่ไม่ได้ระบุอายุเกษียณไว้ในสัญญาจ้างงาน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดให้การเกษียณอายุงานต้องจ่ายเงินชดเชย แต่กฎหมายฉบับใหม่นี้หากเกษียณอายุก็บังคับว่าต้องจ่ายเงินชดเชยด้วย ซึ่งน่าจะมีเกือบ 100,000 บริษัท ที่มีลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกว่า 650,000 คน ในสถานประกอบการขนาดเล็ก


สำหรับมุมมองของนายจ้างนั้น ก็คงจะต้องมีการเตรียมตัวจ่าย ผลประโยชน์พนักงาน เหล่านี้ในอนาคต ซึ่งคาดการณ์ได้ยากว่าบริษัทควรตั้งสำรองในเวลานี้เป็นจำนวนเท่าไร อาจจะต้องอาศัยการคาดเดาในอนาคตว่าลูกจ้างแต่ละคนนั้นจะมีเงินเดือนเท่าไรในตอนที่แต่ละคนจะเกษียณ และจะมีโอกาสทำงานอยู่กับบริษัทจนถึงเกษียณเป็นจำนวนเท่าไร รวมถึงหลักการในการตั้งเป็นเงินสำรองด้วย ซึ่งหลักการเหล่านี้จะเป็นหลักการคนละแบบกับการตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

การคำนวณเงินสำรองสำหรับค่าชดเชยจากการเกษียณ (ซึ่งเท่ากับเลิกจ้าง) เป็นการการันตีผลประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับตอนที่ทำงานจนถึงอายุเกษียณ ซึ่งหลักการตั้งเงินสำรองจะเหมือนกับหลักการเดียวกับแบบประกันชีวิต ที่การันตีผลประโยชน์ให้ในอนาคตที่ระบุไว้ ซึ่งหลักการที่ว่านี้จะอาศัยหลัก คณิตศาสตร์ประกันภัย ในการคำนวณ เพื่อตั้งสำรองให้เหมาะสมและไม่มากหรือน้อยจนเกินไป


ดังนั้น ในทางบัญชีแล้ว นายจ้างก็ควรจะรับรู้ ผลประโยชน์พนักงาน เหล่านี้เป็นหนี้สิน และตั้งเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีไว้ด้วย นึกเสียว่าบริษัทกำลังจ่ายเบี้ยประกันให้กับตัวบริษัทเอง เพื่อเก็บเงินก้อนนี้ไว้จ่ายลูกจ้างในยามที่เขาเกษียณไป

สรุปคือ ตอนนี้ กฎหมายได้กำหนดว่า “การเกษียณ” เท่ากับเลิกจ้าง ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชย พร้อมกำหนดอายุเกษียณเป็น 60 ปี ซึ่งก็อย่าได้ชะล่าใจ ตอนนี้ต้องเตรียมตัว คำนวณผลประโยชน์พนักงาน เหล่านี้ ให้ตั้งเงินสำรองรับรู้เป็นภาระหนี้สินของบริษัท และทยอยรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละปีเอาไว้

สามารถอ่าน บทความเกี่ยวกับHR และ บทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี้

ที่มา : actuarialbiz.com

 2505
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

งาน HR ในปัจจุบัน มีความสำคัญต่อองค์กรมากขึ้นกว่าในอดีต เพราะปัจจุบันทรัพยากรบุคคลถือเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดขององค์กร HR จึงเปรียบเสมือนหุ้นส่วนทางธุรกิจ ซึ่งไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่ คัดคนเข้า เอาคนออก ตรวจบัตรตอก ออกใบเตือน อย่างที่คนภายนอกเข้าใจอีกต่อไป
5955 ผู้เข้าชม
บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีทรัพยากรบุคคลระดับโลกฉายภาพว่า ขั้นตอนการสรรหาทรัพยากรบุคคลแต่เดิมทำกันมาตั้งแต่ระบบจดบันทึกข้อมูลพนักงานส่วนบุคคล จนมาถึงยุคที่บริษัท องค์กรต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญกับระบบการสรรหาคนเก่งหรือบุคลากรที่มีความสามารถสูง (Talent Management Systems) เพื่อขับเคลื่อนองค์กร ผลักดันงานให้ไปถึงเป้าหมายความสำเร็จได้เร็วขึ้น
1810 ผู้เข้าชม
คำถามนี้น่าสนใจมากนะครับ เพราะว่ามันมีผลทั้งกับทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายที่มองหางานก็ต้องเตรียมตัวในการสัมภาษณ์ ฝ่ายที่จะรับเข้าทำงานก็ต้องนัดหมายคนที่เกี่ยวข้องเพื่อลงตารางเวลาสัมภาษณ์ ก่อนอื่นเราต้องกลับมาดูที่จุดประสงค์ของการสัมภาษณ์งานก่อน
3930 ผู้เข้าชม
ต้องยอมรับว่าทันทีที่โลกก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายและรวดเร็ว นั่นรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพ และการปฎิวัติทางการทำงานที่ทุกฝ่ายต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ตั้งแต่ตัวองค์กรเองไปจนถึงพนักงานทุกระดับ
2464 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์