ก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่อง คุณสมบัติของผู้นำ มองย้อนยุคกลับไปสู่อดีต สิ่งแรกซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิตและสังคมที่ใคร่ขอนำมาย้ำความสำคัญไว้ ณ โอกาสนี้คือ หากไม่มีวันนั้นย่อมไม่มีวันนี้ การที่ชี้ให้หวนกลับไปมองสู่อดีต เพื่อประโยชน์ของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งพึงได้รับอย่างลึกซึ้ง น่าจะได้แก่ ผลจากการคิดได้ถึงสิ่งอันเป็นที่มา ย่อมทำให้เกิดการเจริญสติภายในรากฐานของแต่ละคน เพื่อให้ชีวิตอนาคตรู้ความจริงและใช้ เป็นพื้นฐานในการก้าวต่อไปได้มั่นคงยิ่งขึ้น ผู้ใหญ่ในอดีตเคยยืนยันสัจธรรมของการดำเนินชีวิต ฝากไว้ให้ลูกหลานรับไปพิจารณาว่า "จะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ขอให้ทำหน้าที่ ณ จุดนั้นอย่างดีที่สุด" อย่าได้ คิดโลภโมโทสัน ทำให้เกิดความทุกข์แก่ตนเอง และสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่อยู่ ร่วมกันในสังคม
คำกล่าวที่หยิบยกมาเน้นให้ทุกคนได้นำไปคิด น่าจะสะท้อนให้เห็นความจริงถึงประเด็นสำคัญอย่างน้อย 2 ประการ
ประการแรก สะท้อนให้เห็นความหมายของ "ศักดิ์ศรีความเป็นคน" ซึ่งควรจะมีรากฐาน จิตใจอิสระ อันจะนำไปสู่ความภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง
ส่วนประการที่ 2 สะท้อนให้รู้และเข้าใจความหมายของคำว่า "หน้าที่และความรับผิดชอบ" ที่แต่ละคน พึงมีต่อสังคมซึ่งตนควรมีส่วนร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนา
ช่วงหลังๆ คนส่วนใหญ่มีความเห็นแก่ตัว และมีอารมณ์ความต้องการเพื่อประโยชน์ส่วนตนรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถวิเคราะห์สภาพดังกล่าวจากความจริงซึ่งพบเห็นอยู่ในปัจจุบันได้ทุกเรื่อง โดยเหตุที่มีผลกระทบสานถึงกันหมด ธรรมชาติของชีวิตมนุษย์แต่ละคน หากมองจากรากฐานจิตใจที่เป็นกลางย่อมเห็นได้สองด้าน ด้านหนึ่งคือสิ่งซึ่งเป็นความจริงที่มีอยู่ในรากฐานจิตใจ กับอีกด้านหนึ่งคือสิ่งที่อยู่ภายนอก ซึ่งทุกคนมีหน้าที่เรียนรู้จากการปฏิบัติร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ผู้นำควรสะท้อนภาพอะไรให้คนทั่วไปสัมผัสแล้วยอมรับได้
นับเป็นเวลานานร่วม 40 ปีแล้ว วันหนึ่งผู้เขียนเคยกล่าวฝากไว้ให้บรรดาศิษย์รับฟังว่า เมืองไทยทำนาปลูกข้าวเป็นพื้นฐานวัฒนธรรมมาช้านานแล้ว ซึ่งขณะนั้นสภาพแวดล้อมธรรมชาติของท้องถิ่นยังไม่ถูกทำลายรุนแรงมากนัก ทั้งดินและน้ำ ตลอดจนฝนฟ้าอากาศก็ยังคงเป็นไปตามฤดูกาลให้เชื่อมั่นได้ ผู้เขียนได้กล่าวฝากไว้ว่า "ต้นข้าว" ที่เจริญงอกงาม อีกทั้งแตกกอมีความสมบูรณ์พร้อม เมื่อถึงคราวออกรวง ย่อมให้ผลสมบูรณ์เปล่งปลั่งได้ทุกส่วน แม้ข้าวแต่ละเมล็ดย่อมมีความอวบอ้วน "ต้นข้าวซึ่งมีลักษณะพร้อมมูลเช่นนี้ ปลายรวงย่อมโน้ม ลงต่ำสู่พื้นดิน" หากรวงข้าวตั้งตรงชี้ฟ้า ย่อมรู้ความจริงว่าขาดเนื้อในที่ควรจะเป็นผล ตอบสนองแก่ชาวนาผู้ปลูกให้มีขวัญและกำลังใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เปรียบได้ดุจคนเราที่เกิดมา หลังจากเติบโตยิ่งขึ้น และสามารถทำหน้าที่ได้อย่างสง่างามให้ผู้คนเคารพรักและศรัธาจากใจจริง ช่วยให้สังคมเจริญเติบโตอย่างเป็นปึกเป็นแผ่นและมีความมั่นคง ควรมีรากฐานจิตใจที่หยั่งความรักลงสู่พื้นดินอย่างลึกซึ้ง ส่วนการแสดงออกสู่ภายนอก ย่อมมีความอ่อนน้อมถ่อมตนจากการปฏิบัติซึ่งนำตัวเองลงสู่พื้นดินอันควรถือว่า มองเห็นผู้อื่น ซึ่งเดินตามมาภายหลัง มีคุณค่าสำคัญเหนือตน
ส่วนภายในรากฐานจิตใจ พึงต้องมีความมั่นคงอยู่กับเหตุผลที่เป็นความจริงจากใจตนเอง และกล้าที่จะนำปฏิบัติ โดยไม่รู้สึกหวั่นไหวต่ออิทธิพลต่างๆ จากภายนอก เช่น ที่คนยุคก่อนเคยกล่าวไว้ว่า "จงเป็นคนอ่อนนอก แต่แข็งใน อีกทั้งลงมือทำจากใจจริงมากกว่าพูด"
ที่มา : ระพี สาคริก