วิธีการหนึ่งที่จะทำให้คุณปลอดจากโรคเครียด และไม่รู้สึก กดดันในการทำงาน นั่นก็คือการที่คุณปรับตัวคุณให้กลายเป็น คนรักงานเสียเลย การปรับตัวในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเป็นการบังคับให้คุณรักงาน แต่ให้คุณมองโลกในแง่บวก มองว่างานนั้นๆ ได้ให้คุณค่าอะไรแก่ชีวิตของคุณบ้าง แล้วคุณจะกลายเป็นคนรักงานโดยไม่รู้ตัว
1. ไม่ควรพูดโผงผางหรือตะโกนร้อง
อย่าทำแบบนี้ในสถานที่ทำงานเลย คุณเคยได้ยินคำพูดที่ บอกไว้หรือเปล่าว่า บุคคลที่น่าจะได้ยินเราบ่นเรื่องการ ทำงาน น่าจะเป็นแฟน หรือสมาชิกในครอบครัวมากกว่า
วิธีการ เรื่องนี้สามารถทำได้ แต่ให้อยู่ในกรอบแห่งความเหมาะสม คงจะไม่ดีแน่ หากคุณตะโกนร้องในสำนักงานว่า คุณเครียดและเบื่อการทำงานเต็มที คุณควรจะหยิบยกเรื่องนี้ พูดคุยกับเพื่อนสนิท กับคู่ชีวิต หรือกับสมาชิกในครอบครัว น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พูดง่ายๆ ก็คือไม่ควรเก็บเรื่องราวนี้ไว้ในใจแต่เพียงคนเดียว
2. ตระหนักอยู่เสมอว่า ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง
เป็นเรื่องง่ายถ้าคุณจะคิดว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปเสมอ ไม่มีอะไรที่แน่นอน ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่จริงเสมอไปเหมือนกัน เพราะยังมีพนักงานอีกหลายคนที่เกิดความคาดหวังว่าอยากทำงานในองค์กรใดองค์กร หนึ่งนานๆ มีการเติบโตในหน้าที่การงานที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญก็คือพวกเขาต้องการความมั่นคงในชีวิต และมองว่างานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันเป็นพื้นฐานสำคัญของความมั่นคงในชีวิต คุณ
วิธีการ ให้คุณปรับความคิดของคุณเสียใหม่ มองว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมอ ไม่มีอะไรที่จะเป็นแบบนี้ตลอดไป เช่นเดียวกับงานของคุณ หากวันนี้คุณศึกษาเรื่องงานอย่าง จริงจัง และใส่ใจกับรายละเอียดของการทำงาน การเปลี่ยนแปลง ที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณ นั่นก็คือคุณย่อมจะก้าวหน้าในการทำงาน หรือการได้รับโอกาสดีๆ ในการทำงานมากยิ่งขึ้น
3. รู้จักการให้เวลากับตัวเอง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม คุณจะยังคงใส่ใจและแบ่งเวลาไว้สำหรับการทำงาน การรับประทานอาหาร นอนหลับให้เป็นปกติ ไม่ใช่หวั่นวิตกแต่เรื่องงานมากเกินไป จนทำให้คุณนอนไม่หลับ
วิธีการ ถามตัวเองว่าคุณชอบทำกิจกรรมแบบไหน ลองทำกิจกรรมที่คุณชอบดู เป็นอะไรก็ตาม ตั้งแต่การทำงานอดิเรกที่คุณรัก ไปจนถึงการอ่านหนังสือพิมพ์ ลองนำสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์เป็นกิจกรรมประจำวันของคุณในชีวิตประจำวันให้ ได้
4. เพิ่มสีสันแห่งความสุขเข้าไปในชีวิตการทำงาน
เชื่อเถอะ ไม่มีใครหรอกที่จะนั่งทำงานในสำนักงานตลอดเวลา ลองมองหาเวลาว่างจากการทำงานในแต่ละวันไปออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมอื่นเสียบ้าง เช่น เข้าห้องสมุด ไปห้องฟิตเนส ฯลฯ รับรองคุณจะรักที่ทำงานมากขึ้น
วิธีการ ตรวจดูว่ากีฬาโปรดของคุณคืออะไร หรือไม่ก็อาจจะหาเวลาฟังเพลงในช่วงที่คุณอยู่ว่างๆ หรือไม่ก็หาเวลาว่างๆ ออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกบ้าน แล้วคุณจะเกิดความรู้สึกว่าคุณชอบทำงานที่นี่ และความรักงานก็จะตามมาเอง เพราะทำให้คุณมีเวลาส่วนตัวสำหรับทำกิจกรรมส่วนตัวของคุณได้เหมือนเดิม
5. มีอารมณ์ขัน
คงต้องใช้คำพูดแบบเดิมที่พูดกันมานานแล้วว่า อารมณ์ขันเป็นยาวิเศษสุด บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างมีความเชื่อว่า การมีอารมณ์ขัน หรือการยิ้มแย้มแจ่มใสเสียบ้างนั้น จะทำให้คุณ เกิดศักยภาพในการพัฒนาทักษะ สำหรับรับมือกับปัญหา หรือ สถานการณ์รอบตัวในชีวิตประจำวัน
วิธีการ ลองเริ่มต้นเพิ่มอารมณ์ขันในแต่ละวันของคุณเท่า ที่จะเป็นไปได้ ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรก็ลองชมภาพยนตร์ หรือละครแนวสนุก เบาสมอง หรือจะเป็นรายการตลกก็ได้
6. นึกถึงชีวิตนอกที่ทำงานเสียบ้าง
ถ้าในแต่ละวันคุณใช้เวลาทำงานยาวนานถึง 8 ชั่วโมง (หรืออาจจะมากกว่า) ส่วนเวลาสำหรับการนอนอยู่ที่ 8 ชั่วโมง ลองคิดเล่นๆ ดู หากคุณใช้เวลายาวนานในการทำงานที่สำนักงานนานจนเกินไป นั่นแสดงว่าองค์กรกำลังแย่งเวลาส่วนตัวของคุณอยู่!
วิธีการ ลองนึกถึงครอบครัว และเพื่อนๆ ของคุณดูบ้าง คุณไม่ได้พบพวกเขานานเท่าไหร่แล้ว ลองเริ่มต้นด้วยการแบ่งเวลา กลับไปรับประทานอาหารค่ำกับคุณพ่อและคุณแม่ หรือญาติพี่น้องเสียบ้าง การฝังตัวอยู่ในที่ทำงาน หรือนั่งทำงานในบ้านนานเกินไป อาจทำให้สักวันหนึ่งคุณเริ่มหมดความอดทนที่จะรักงานนี้ก็ได้
7. ทำตัวเป็นพนักงานที่ดี
คงต้องใช้คำพูดเดิมที่ว่าให้คุณพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเมื่อคุณเลือกสมัครมาในตำแหน่งนี้แล้ว
วิธีการ ถ้าทางองค์กรได้เสนอโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการ อบรมเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานให้คุณ คุณไม่ควรจะรอช้า ให้คุณลงมือสมัครเพื่อเข้ารับการอบรมในทันที เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะการทำงานของคุณให้เพิ่มขึ้น เมื่อมีทักษะมากขึ้น คุณจะรู้สึกว่าทำงานได้อย่างคล่องตัว และไม่รู้สึกท้อแท้กับการทำงาน
8. อย่าโทษงานของคุณ
หากว่าคุณคิดจะโทษอะไรก็ตาม คงต้องหาเหตุผลหน่อย บางคนก็โทษว่างานแย่งเวลาคุณไปหมด จริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับการแบ่งเวลาของคุณต่างหาก
วิธีการ อย่านำเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวมาเชื่อมโยงกัน มีเรื่องอะไรก็โทษงานไปเสียทั้งหมด ทำแบบนี้คุณจะเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ และไม่มีความสุข ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติ และลองแบ่งเวลาการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวเสียใหม่ แล้วคุณจะพบว่าการทำงานไม่ใช่อุปสรรคต่อการใช้ชีวิตส่วนตัวของคุณเลย
9. เรียนรู้ที่จะมีกิจกรรมในที่ทำงาน
คิดว่าเพื่อนร่วมงานก็คงจะรู้สึกเหมือนคุณนั่นแหละ ที่อยากจะหาอะไรทำเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นที่ทำงาน
วิธีการ ลองเสนอกิจกรรมใหม่ๆ ทำในที่ทำงาน หรือมองหากิจกรรมที่น่าสนใจดู ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจนัดเพื่อนๆ ไปเล่นโบว์ลิ่งกันในค่ำคืนหนึ่ง ไปรับประทานอาหารกับเพื่อนๆ ในที่ทำงานบ้าง หรือไม่ก็จัดปาร์ตี้หลังงาน ฯลฯ
10. ตั้งเป้าหมายเรื่องการทำงานเพื่อตัวคุณเอง
วิธีการที่ดีที่สุดที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งวิกฤตในชีวิตได้ นั่นคือคุณมีเป้าหมายเรื่องการทำงานอยู่ในใจแล้ว
วิธีการ ให้คุณเริ่มกำหนดเป้าหมายไว้ในใจเลยว่า คุณจะ ทำงานที่นี่ไปอีกเป็นเวลากี่ปี โอกาสก้าวหน้าในการทำงานเป็น อย่างไรบ้าง หรือทำงานไปสักกี่ปีแล้วจะลองไปทำธุรกิจส่วนตัว การมีเป้าหมายที่จะทำให้คุณมองตรงไปยังเบื้องหน้า มองเห็น ทิศทางในอนาคตของคุณ
11. มองหาความช่วยเหลือจากมืออาชีพ
ในผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งเคยระบุไว้ว่า มีชาวอเมริกันมากกว่า 19 ล้านคน (รวมถึงเจ้าของกิจการและผู้บริหารระดับสูง) ที่ต้องเผชิญกับภาวะความตึงเครียดและภาวะความกดดัน เพราะฉะนั้น เรื่องความเครียดและความกดดันเป็นเรื่องธรรมดาเสียจริง อย่าได้หวั่นวิตกไป เพราะนักบริหารมืออาชีพทั้งหลายก็ประสบกับภาวะเช่นนี้เหมือนกัน
วิธีการ เมื่อคุณพบว่าในที่สุดแล้ว ปัญหาการทำงานของคุณเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ ให้คุณลองมองหาผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถเพื่อมาบริหารองค์กรของคุณดู มีบรรดาบริษัทหลายแห่งที่เห็นสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีที่ว่า พนักงานที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขในการทำงาน ย่อมจะกลายเป็นพนักงานที่มีคุณภาพไปโดยปริยาย เป็นเรื่องน่าท้าทาย ให้คุณได้พิสูจน์ว่าเป็นจริงหรือไม่
ในชีวิตจริงถ้าเป็นไปได้ให้ลองทำงานตั้งแต่เวลา 09.00– 17.00 น. เมื่อเลิกงานอาจจะไปชมภาพยนตร์สักรอบ หรือไม่ก็ไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส หรือออกไปรับประทานอาหารค่ำกับกลุ่มเพื่อน แล้วคุณจะพบว่าความสุขจากการใช้ชีวิตส่วนตัวนั้นมีจริง และคุณสามารถทำให้เกิดขึ้นได้
คุณไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาทุกอย่างในที่ทำงานได้ สิ่งที่คุณ สามารจะทำได้ก็คือการพยายามแก้ปัญหาในที่ทำงานให้อยู่ใน ลิมิตและศักยภาพของคุณที่พอจะทำได้ งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คุณ และงานทำให้ชีวิตคุณมีความหมาย แล้วแบบนี้คุณจะไม่ลองปรับทัศนคติ ปรับความคิด มาเป็นคนรุ่นใหม่ผู้รักการทำงานกัน ดีกว่า
ที่มา : Post Today