เผชิญหน้ากับความท้าทายแห่งชีวิตการทำงาน

เผชิญหน้ากับความท้าทายแห่งชีวิตการทำงาน

     เป็นบ้างไหมที่ทำงานมาตลอดทั้งปี จนมาถึงช่วงสุดท้ายของปีแล้ว ทั้งรู้สึกเหนื่อย หนักเหลือเกิน แถมผลการประเมินหรือโบนัสที่จะได้ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เฮ้อ เมื่อเรานึกถึงเรื่องงาน บ่อยครั้งที่เรามักจะคิดถึงภาระหนักที่น่าเบื่อ มีความอึดอัดใจและความเครียด สำหรับมนุษย์ทำงานโดยส่วนใหญ่แล้ว งานคือสถานที่สุดท้ายในชีวิตของเรา ซึ่งเราคาดหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่สร้างความพึงพอใจ ความสมปรารถนา หรือความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

     แต่จะทำอย่างไรให้มนุษย์งานทั้งหลายอย่างเราๆ จะสามารถสร้างแรง จูงใจเพื่อให้เผชิญหน้ากับความท้าทายในหน้าที่การงานของเราได้ หรือมี แรงบันดาลใจมากพอในการที่จะเปลี่ยนแปลงความสับสนวุ่นวาย และความวิตกกังวลที่พบเห็นกันอยู่เสมอๆ ในสถานที่ทำงาน ให้กลายมาเป็นโอกาสที่มีคุณค่าต่อการยกระดับปัญญา และความมีประสิทธิผลที่สูงยิ่งขึ้น อย่างน้อยต้องแสดงให้เห็นว่าชีวิตของการทำงานไม่ว่าจะเป็นงานประเภทใดก็ตาม สามารถกลายเป็นส่วนที่เชื่อมประสานอย่างแนบแน่นกับชีวิตของเราและ สร้างความสมปรารถนาให้แก่เราได้

     เรามีข้อแนะนำ 6 ข้อ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้แก่การทำงานของเรา รวมถึงความเข้าใจในตัวเราเองและเพื่อนร่วมงาน โดยนำไปใช้ในสถานการณ์จริงท่ามกลางความสับสน วุ่นวายในการทำงาน เพื่อพัฒนาให้เกิดความกระจ่างแจ้งทางปัญญา และ ก่อเกิดแรงบันดาลใจ และต้องพยายามยอมรับให้ได้ว่างานและความสลับซับซ้อนทั้งหมดของมันเป็นคำเชิญ ชวนที่ทรงคุณค่าให้เราสามารถดำเนินชีวิตของเราอย่างเต็มที่ รวมทั้งการใช้สติปัญญา ความมั่นใจ และความเบิกบานใจในการทำงานอันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของเราอีกครั้ง หนึ่ง

     แม้เมื่ออยู่ในที่ทำงาน จงใช้การทำงานประจำที่มีแบบแผนเพื่อบรรลุ เป้าหมาย จงใช้ความยุ่งเหยิงและเรื่องที่ไม่คาดคิด เพื่อพัฒนาสิ่งใหม่และ เพื่อความสำเร็จ แต่เราจะเผชิญหน้ากับความท้าทายนั้นได้อย่างไร เรามี 6 วิธีมาแนะนำกันค่ะ

1. บ่มเพาะความมีสติตั้งมั่นในการทำงาน
     ในการมีความซื่อตรงเช่นนั้น เราจำเป็นต้องทำงานด้วยสติปัญญาที่ เฉียบคม และมีจิตใจที่กระจ่างใส โดยไม่เป็นทั้งผู้ที่ถูกหลอกลวงได้ง่ายหรือหัวแข็งไม่ยอมรับฟังใคร ในการมีวินัยในการทำงาน เราจำเป็นต้องเลิก หลอกตัวเอง เลิกพยายามที่จะปกป้องงานของเรา ชื่อเสียงของเรา เส้นทางอันราบเรียบสู่ความสำเร็จ และเราต้องมุ่งมั่นที่จะให้ความสนใจและซื่อสัตย์ต่อประสบการณ์ที่แท้จริงของ เรา ความตั้งใจดังกล่าวนี้ทำได้โดยการเชื่อมประสานกับงานอย่างชาญฉลาด ในขณะที่งานนั้นเผยปรากฏตัวเองออกมา โดยไม่พยายามที่จะสร้างความมั่นคงให้กับความผาสุกของเรา หรือการสร้างหลักประกันจอมปลอม การมีวินัยซื่อสัตย์เช่นนี้เป็นหัวใจสำคัญของความ มีสติตั้งมั่น และมันไม่อาจเกิดขึ้นได้เอง แต่จำเป็นต้องทำการบ่มเพาะเป็นระยะเวลานาน

     เราควรที่จะฝึกใจให้สงบนิ่งเพื่อรับรู้ประสบการณ์โดยตรงของจิตใน ปัจจุบันขณะ จงสำรวจดูความเป็นตัวตนของเราอย่างเที่ยงตรงที่สุดและ ด้วยความอ่อนโยน โดยค่อยๆ มองผ่านทะลุถึงงานที่กำลังทำอยู่ว่ามีปัญหาอุปสรรคอย่างไร ควรมีทางออกอย่างไรได้บ้าง แน่นอนว่าการมีสติตั้งมั่นจะ ไม่ทำให้งานของคุณยุ่งเหยิงน้อยลง ลูกค้าจะมีปัญหาน้อยลง เพื่อนร่วมงาน ที่ชอบชิงดีชิงเด่นน้อยลง แต่การมีสติจะทำให้เราใจเย็นขึ้น มีความอดทน มีความสุขุมรอบคอบยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะมีการมองโลกในแง่ดี รู้จัก ประนีประนอมและให้อภัยมากยิ่งขึ้น

     ดังนั้น การพัฒนาความมีสติตั้งมั่นจึงเป็นภาระกิจที่สำคัญของเราใน การทำงาน แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเราชอบที่จะพัฒนาตนเองในเชิงจิตวิญญาณแทนที่จะทำ งานให้สำเร็จลุล่วง การมีสติตั้งมั่นในการทำงาน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานให้กลายเป็นการปลีกวิเวกไปอยู่อย่าง โดดเดี่ยว แต่จะช่วยให้เราปราศจากความวิตกกังวล และความขุ่นเคืองใจ ไปได้มากนั่นเอง


2. เป็นผู้ตื่นในการทำงานอยู่เสมอ
     การเป็นผู้ตื่นในการทำงานไม่ใช่วิธีการปฏิบัติที่จะได้ผลในทันทีที่เราจะ สามารถทำเพียงครั้งเดียว และสรุปได้ว่าเราทำสำเร็จแล้ว แต่เป็นหนทางให้เราค่อยๆ เดินไป เป็นกระบวนการต่อเนื่องของการเรียนรู้ถึงวิธีการเชื่อมประสานกับงานของเรา อย่างชาญฉลาดในชั่วขณะนั้น ทั้งยังปลุกความกล้าหาญที่เรามีอยู่แล้วตามธรรมชาติให้เชื่อมประสานกับงานใน ปัจจุบันขณะ โดยปราศจากความอวดดี ปราศจากความกลัว ควรเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นตามสัญชาตญาณในการเป็นคนอ่อนโยนและยุติธรรม และเราตะหนักว่าความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในการทำงานจะเป็นจริงขึ้น ได้ก็ต่อเมื่อ เรามีความตั้งใจจริง รู้ตื่นในการทำงานอยู่เสมอ

3. แม้งานคือความยุ่งเหยิง แต่ก็ไม่ควรเครียดจนเกินไป 
     คนส่วนใหญ่มักจะไปทำงานพร้อมกับความคาดหวังว่าจะสามารถควบคุมงานของตนเองได้ อีกทั้งเรายังต้องการที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์งานที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพ ไม่ใช่เหยื่อของงานที่ขาดการวางแผน แต่เราต้องการให้งานอยู่คงที่ถาวรเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกกังวลใจ แต่ก็มีบ่อยครั้งที่งานก็ไม่อาจอยู่คงที่ได้ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามทุกวิถีทางที่จะควบคุมให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ความสับสนวุ่นวายดังกล่าวอาจส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวเราเอง เราอาจไปทำงานขณะที่คาดหวังสิ่งหนึ่ง แต่เรากลับได้รับในอีกสิ่งหนึ่ง

     ความไม่อาจคาดเดาได้นี้ อาจทำให้เราสูญเสียความรู้สึกมั่นใจและ ความท้าทายที่สร้างสรรค์ โดยปกติแล้วเรามักจะคิดว่าเรื่องน่าประหลาดใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับงานเป็นเพียงความยุ่งเหยิงผิดพลาด ก้าวผิดขั้นตอน เราควรจะป้องกันแก้ไขได้ อย่าลืมว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอกับคนที่ ทำงาน คนที่ไม่เคยผิดพลาดเลยก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลยนั่นเอง และ โดยธรรมชาติของมันแล้วจะมีแต่ความไม่แน่นอนอยู่เสมอ ข่าวดีก็คือความ ยุ่งเหยิงและความไม่แน่นอนของงานไม่จำเป็นต้องทำให้เรารู้สึกเครียดเสีย ทุกครั้งไป เพียงคิดว่าผิดพลาดแล้วเริ่มทำให้ดีกว่าครั้งก่อน การมองว่าความยุ่งเหยิงของงานเป็นความผิดพลาดหรือเป็นข้อเสียเปรียบ จะทำให้เกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น ควรเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายกับงานให้มากขึ้น

4. มีความสุขุมเยือกเย็น 
     ควรสร้างอุปนิสัยในการทำงานให้เกิดความสุขุมเยือกเย็น เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาในทุกครั้งของการทำงานควรจะสร้างมุมมองที่ทำให้จิตใจ เรามีความสุขุมเยือกเย็น พร้อมทั้งพยายามสร้างแรงจูงใจใหม่ๆ ในการทำงาน ไม่ว่าจะทำให้เห็นว่างานเป็นของมีค่า งานคือความมั่นคงในชีวิต เมื่อเรามีความรู้สึก ที่ดีและมีความซื่อตรงในการทำงานแล้ว เราจะมีความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นได้มากมาย จนพัฒนาไปสู่ความสุขุมเยือกเย็นได้ตามธรรมชาติ และไม่รู้สึกกลัวต่อการไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องงาน เราจะเริ่มยอมรับกับความสามารถขั้นพื้นฐานของเราในการจัดการกับสถานการณ์ เรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นและให้ความสนใจต่อความสามารถของตนเองในการทำงาน

     รวมทั้งมีทัศนคติที่เปิดกว้างตามความเป็นจริงต่อการทำงานและผู้ร่วมงาน เราจะยอมรับความจริงได้ว่าไม่ว่าอะไรก็ตามในเรื่องงานสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งนั้น บางครั้งคนทำงานอย่างเราอาจจะไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจาก ยอมรับความจริงด้วยใจที่สุขุมเยือกเย็น และมองปัญหาด้วยหัวใจที่เปิดกว้างในการทำงาน


5. อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลงหรือความไม่มั่นคง 
     โดยปกติแล้วในการทำงานหรือการทำธุรกิจเรามักจะมองว่า ความ ไม่มั่นคงหรือความไม่แน่นอนนั้นเป็นเสมือนข้อเสียเปรียบหรือเป็นความ ยุ่งยาก ซึ่งเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วครั้งชั่วคราวก่อนที่เราจะควบคุมมันได้ อย่างสมบูรณ์และตลอดไป แม้ว่าฟังดูราวกับว่างานที่ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบจะสามารถขจัดความไม่แน่ นอนออกไปได้ และรับประกันถึงความสำเร็จได้โดยจะไม่มีเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความเสี่ยง ที่เกิดจากการตัดสินใจผิด

     การไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เรามีมุมมองที่ตรงกันข้ามกันโดย สิ้นเชิง แทนที่มันจะเป็นข้อเสียเปรียบที่เราต้องขจัดออกไปเสีย แต่เราควรให้การยอมรับว่าความไม่มั่นคงก็คือมูลฐานหรือลักษณะอันเป็นแก่นแท้ ของ ทุกสิ่งที่เราประสบพบ เป็นข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐานที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของชีวิต ความเป็นจริงที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี่เอง ที่กระตุ้นความสนใจของเรา เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป

     เราจึงต้องเป็นผู้ตื่นและยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพราะ ทุกอย่างล้วนไม่มีความแน่นอน ทุกสิ่งที่เราเป็น ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่เรา ต้องการและอยากได้ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีความแน่นอนเลยในทุกๆ ชั่วขณะ ความเป็นจริงที่ชัดเจนและทรงพลัง อำนาจนี้ทำให้เราจำเป็นต้องตื่นขึ้น และยอมรับและเดินไปข้างหน้าต่อไป

6. อ่อนโยนกับตัวเองและผู้อื่น
     เมื่อเผชิญกับงานหนักหรือความเครียดจากเรื่องงาน บางครั้งเราอาจจะ หักโหมกับตัวเองมากเกินไป ซึ่งในการทำงานมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่คาดหวังจากเรา และการจะทำให้งานสำเร็จตามคาดหวังเหล่านั้นมักสร้างความกดดันใก้แก่เรา เพราะบ่อยครั้งที่เราต้องการให้คนอื่นยอมรับในความสามารถ ดังนั้นเราจึงต้องทำให้ได้ตามความทะยานอยากของตัวเราเอง หมายกำหนดการที่แน่นขนัด ความท้าทายที่ซับซ้อน การตัดสินใจที่เสี่ยง และอื่นๆ อีกมากมาย อาจทำให้เราก้าวเดินอย่างเร่งรีบจนเกินกำลังไปก็เป็นได้

      ดังนั้นจงอย่าลืมที่จะอ่อนโยนกับตัวเราเอง มีความกรุณาต่อตัวเองเสียบ้าง ลองพยายามทำอะไรให้ช้าลงและปฏิบัติต่อตัวเองอย่างเหมาะสม การอ่อนโยนกับตัวเองเปรียบเสมือนการได้หยุดพักดื่มน้ำชาสักถ้วย เราสามารถอ่อนโยนกับตัวเองแบบนี้ได้ การได้หยุดพักและมีความสุขกับการดื่มชาให้กับรสชาติและกลิ่นหอมกรุ่น การได้ทำอะไรช้าๆ ลงและให้โอกาสแก่ตัวเองได้มองเห็นโลกที่อยู่รอบๆ ตัวเราโดยไม่ต้องมีระเบียบวาระใดๆ เสียบ้าง

     การที่เราได้อ่อนโยนกับตัวเองและคนอื่น เป็นการสนับสนุนให้เราได้มองเห็นงานเป็นเสมือนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณของเรา ด้วย แทนที่จะมองว่า นั่นเป็นเพียงบัตรบันทึกคะแนนที่ใช้วัดความสำเร็จ ว่าเรากำลังจะประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำงาน แต่เมื่อต้องเจอกับความยุ่งยาก ก็พยายามมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป อย่าซ้ำเติมตัวเอง เพราะเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการเรียนรู้ บอกให้ตัวเองได้เหลียวมองตัวเองเสียใหม่ พร้อมกับสร้างความ ผ่อนคลายให้แก่โลกของเราบ้างในระหว่างทาง เมื่อใดที่เราหักโหมกับตัวเอง เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะหักโหมกับคนอื่นด้วยเช่นกัน การอ่อนโยนกับตัวเองและคนอื่นจะทำให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้นสำหรับทุกๆ คน


ที่มา : http://www.jobjob.co.th

 21743
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

People Management

ไม่พบรายการที่คุณค้นหา
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์