8 ชั่วโมง คือเวลาในแต่ละวันที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่กับการทำงานในสถานที่ทำงานเป็นอย่าง น้อย และไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะบางครั้งหลายคนยังต้องหอบหิ้วงานที่คั่งค้างกลับมาทำที่บ้านอีกด้วย ...ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิดที่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ซึ่งข้อดีของการทำงานที่บ้านนั้น ไม่เพียงแต่เราจะมีเวลาว่างของตัวเองมากขึ้น แต่ยังสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างอิสรเสรี และคงด้วยเหตุผลที่ว่าเงียบสงบและยังเป็นตัวของตัวเองได้ดียิ่งอีกด้วยนั่น เอง
เอาเป็นว่าหากเราต้องการมีห้องทำงานสักห้องภายในบ้าน ก็ควรที่จะออกแบบให้ห้องทำงานเป็นได้ทั้งสถานที่ทำงานและสถานที่พักผ่อน หย่อนใจไปในตัว เพื่อจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมี ประสิทธิภาพ...แต่จะทำอย่างไรดีล่ะที่จะสร้างบรรยากาศในการทำงานที่บ้านให้ แสนอภิรมย์ ไม่ยากครับ เพราะวันนี้เรามีวิธีง่ายๆ ในการจัดมุมทำงานภายในบ้านที่เน้นความเป็น “บ้าน” มากกว่าเป็นสถานที่ทำงาน มาฝากกันครับ
สะอาด สดชื่น ควรเป็นห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยมีช่องเปิด เช่น หน้าต่าง ประตู หรือช่องระบายอากาศอย่างเพียงพอ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของพื้นที่ห้อง เนื่องจากอุปกรณ์สำนักงานคือที่มาสำคัญของความร้อนและไอ ซึ่งไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ
แสงสว่างต้องเพียงพอ ควรจัดวางโต๊ะทำงานไว้ใกล้หน้าต่าง เพราะในห้องทำงานต้องให้มีแสงสว่างพอเพียงกับการทำงาน ไม่จัดจ้าเกินไปหรือน้อยเกินไป กล่าวคือควรมีแสงสว่างไม่ต่ำกว่า 30-40 ฟุตแรงเทียน และที่สำคัญพยายามใช้แสงธรรมชาติให้มากที่สุด สำหรับโต๊ะทำงานที่ตั้งคอมพิวเตอร์อาจต้องอยู่ในที่ร่มเพื่อลดแสงสะท้อน และกรณีที่ใช้แสงไฟควรเลือกใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบประหยัดไฟ
ใช้เฟอร์นิเจอร์มือสอง เพื่อ เป็นการหมุนเวียนใช้วัสดุ ประหยัดเงิน และลดไอจากสารเคมี ไม่ควรใช้เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่ทำด้วยไม้อัด เพราะอาจมีสารประกอบอินทรีย์ที่เป็นไอระเหย (VOC) ระดับสูง ควรเลือกใช้ไม้จริงแทน
ไม่ละเลยมุมพักสายตา ในกรณีที่ต้องทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณคอ ไหล่ และรู้สึกอ่อนเพลียทางสายตา ควรมีมุมสบายสายตาของห้อง เช่น กระจกมองทะลุสวน เพื่อเป็นการพักสายตาจากคอมพิวเตอร์
ปราศจากเสียงดัง เนื่องจากการทำงานต้องใช้สมาธิมาก ดังนั้นห้องทำงานจึงจำเป็นต้องมีความสงบเงียบ ปราศจากเสียงรบกวนใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งควรมีเสียงดังไม่เกิน 30 เดซิเบล
หลีกเลี่ยงกลิ่นไม่พึงประสงค์ “กลิ่น”นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดการรบกวนประสาทสัมผัส รบกวนสมาธิ ดังนั้นห้องทำงานจึงไม่ควรอยู่ใกล้กับแหล่งที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นเน่าเหม็น กลิ่นสารเคมี เป็นต้น
ห่างไกลควันฝุ่น ในห้องทำงานไม่ควรมีควันฝุ่น เพราะสิ่งเหล่านี้มีอันตรายโดยตรงต่อร่างกาย คือ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย อารมณ์เครียด และอาการเจ็บป่วย
เพิ่มสีสันให้ความคิดสร้างสรรค์ ควรมีพื้นที่ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ซึ่งในที่นี้มิได้หมายถึงห้องที่มีอุปกรณ์สำนักงานที่ครบครัน แต่เป็นห้องที่ออกแบบโดยเน้นความพึงพอใจของผู้ใช้งานเป็นหลัก และเลือกสีที่เหมาะสม ซึ่งมีผลอย่างมากต่ออารมณ์ของผู้ทำงาน หรืออาจมีการตกแต่งเพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงาน เช่น รูปถ่ายความสำเร็จต่างๆ รูปรับปริญญา ภาพถ่ายครอบครัว บทกวีหรือถ้อยคำให้กำลังใจในชีวิตต่างๆ
เติมธรรมชาติให้ห้องทำงาน ปลูกต้นไม้ในออฟฟิศจะช่วยเพิ่มความสดชื่นและพลังชีวิต แค่ควรศึกษาสภาพตามธรรมชาติของไม้ที่เราจะนำมาปลูกในออฟฟิศเสียก่อนว่า ต้นไม้พันธุ์ใดชอบอากาศแบบใด หรือชอบแดดชอบน้ำแค่ไหน ตัวอย่างพันธุ์ไม้ที่เอื้อแก่การปลูกในห้องทำงานก็เช่น กระบองเพชรจิ๋ว พลูด่าง เทียนฝรั่ง และแอฟริกันไวโอเลต นอกจากนี้อาจมีตู้ปลาเล็กๆ ประดับไว้ก็จะทำให้ห้องทำงานมีชีวิตชีวามากขึ้น
เน้นเครื่องใช้ประหยัดไฟ เลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ประหยัดไฟ โดยดูจากเครื่องหมายแสดงการประหยัดไฟหรือเครื่องหมายดาวประหยัดพลังงาน (Energy Star) ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่มอบให้แก่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในบ้านและสำนักงาน รุ่นประหยัดไฟ
เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่สามารถเพิ่มศักยภาพการทำงาน (Upgrade) ได้ง่าย หรืออาจลองพิจารณาคอมพิวเตอร์แบบวางตัก (Laptop) เพราะกินไฟน้อยกว่าแบบตั้งโต๊ะถึง 90% และยังเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ ได้ง่าย
เลือกซื้ออุปกรณ์เสริมอย่างคุ้มค่า ควรเลือกซื้อเครื่องประกอบที่ทำงานได้หลายอย่าง เช่น เครื่องพิมพ์ โทรสาร และเครื่องสแกนรวมอยู่ในเครื่องเดียวกันก็ยิ่งดี
รีไซเคิลดีที่สุด หาก เป็นไปได้ควรเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ จากร้านที่สั่งของจากแหล่งที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและมีโครงการรีไซเคิลของ ใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์สำนักงานอื่นๆ ทั้งซอง แฟ้มเอกสาร และที่คั่นเอกสาร
ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนง่ายๆ ในการจัดมุมทำงานภายในบ้าน ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมได้กับบ้านของตนเอง
ที่มา : http://jobmsn.jobjob.co.th
